วันอังคาร, มีนาคม 22, 2559

ท่านรู้ใหม... รัฐประหารหนึ่งครั้ง... ประเทศฉิบหายไปเท่าไหร่?




อะหา ทฤษฎี ‘เคย์เนเชียน’ (Keynesian) 's in full swing ลด แลก แจก แถม ยุคเปลี่ยนผ่าน รัฐบาลอัดฉีดแหลก คงไม่ถึงต้องกู้หนี้ยืมสินมาจ่ายล่ะนะ

ประชุม ครม. วันนี้ (๒๒ มีนา) พูดถึงแต่เรื่องสงกรานต์งานใหญ่ ปีที่ คสช. ขอให้ประชาถนอมน้ำ ห้ามสาดเยอะ อย่าเปลือง แค่ประพรม




กับมาตรการสุดสำคัญ ดันให้ชาวบ้านออกมาจับจ่ายกันเต็มพิกัด อัตราจีดีพีปีนี้จะได้กระเตื้องขึ้นอีกสักจุด อวดฝีมือตะหานทำได้ ไม่ใช่ขี้ไก่

“กระทรวงการคลังเสนอให้ที่ประชุมพิจารณา ๓ มาตรการ คือ มาตรการแจกเงินให้กับข้าราชการระดับล่างและกลางที่ไม่มีเงินประจำตำแหน่ง ที่มีกว่า ๑ ล้านคน รวมถึงผู้มีรายได้น้อย เป็นวงเงินรวม ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท” โดยแจกให้รายละประมาณกว่าพันบาท

อีกอย่าง โครงการปล่อยกู้ซื้อบ้าน ‘ประชารัฐ’ อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได ร้อยละ ๓-๔ สำหรับช่วง ๖ ปีแรก และมาตรการที่สาม เติมเงินกองทุนหมู่บ้านรอบใหม่ ตำบลละ ๕ ล้านบาท

นอกนั้นกระทรวงแรงงานเสนอปรับค่าแรงขั้นต่ำจาก ๓๐๐ บาทต่อวันเป็น ๓๖๐ บาท และสูงสุดอยู่ที่ ๕๕๐ บาทต่อวัน ใน ๒๐ สาขาของ ๕ กลุ่มอุตสาหกรรม

(http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1458616651)

“นี่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งที่สามของทีมเศรษฐกิจนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ โดยครั้งแรกเป็นมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่วงเงิน ๑.๓๖ แสนล้านบาท ครั้งที่สองเป็นมาตรการเพิ่มเงินกองทุนหมู่บ้าน ๓.๕ หมื่นล้านบาท”

(http://www.posttoday.com/economy/finance/422552 )

ทั้งนี้เห็นว่าข้าราชการเป็นกลุ่มที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือเลย และทั้งนั้นอยู่บนผลสรุปที่ว่า เมื่อปีที่แล้วโครงการช้อปช่วยชาติได้ผลดี “มียอดภาษีมูลค่าเพิ่มได้สูงขึ้นเกือบเท่าตัวของภาษีที่ขอหักลดหย่อนภาษี”

“แหล่งข่าวเปิดเผยว่า รัฐบาลจำเป็นต้องออกมาตรการเพิ่มเติม เพราะประเมินว่าปัญหาภัยแล้งจะส่งผลกระทบกับประชาชนและเศรษฐกิจอย่างรุนแรงยาวนานไปจนถึงเดือน พ.ค.นี้ และการส่งออกซึ่งมีสัดส่วนมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง ๖๐-๗๐ % ของจีดีพี ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกอ่อนแอ แม้จะมีการใช้จ่ายภาครัฐเข้ามาช่วยเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนทำได้ดีขึ้น แต่ก็มีสัดส่วนเพียง ๑๐ % ของจีดีพีเท่านั้น ทำให้พยุงเศรษฐกิจได้ไม่มาก”

(http://www.posttoday.com/economy/finance/422552)




ตามหลักทฤษฎีก็น่าจะพูดได้ว่ามาถูกทาง ในเมื่อส่งออกฟุบก็ต้องเพิ่มจาก ‘แว้ท’ ซึ่งเป็นรายได้หลักของรัฐบาลที่หักจากพวกชาวบ้านที่เดินเข้าเซเว่นแต่เช้ายันเย็นนั่นละ

เปรียบได้กับการฉีดเลือดให้ปู กระตุ้นการเติบโตในร่างปู (หลักการเดียวกับฉีดเสต็มเซลล์เข้าไปสร้างเซลล์ใหม่) พอปูโตเต็มที่แล้วค่อยขูดเลือดจากปูอีกที (อันนี้ไม่เกี่ยวกับการจะฟัน เรียกค่าเสียหายจาก ‘ปู’ หลายแสนล้านนะ)

แต่ปัญหาอยู่ที่อัดฉีดผิดที่ แล้วยังเลือกฉีดไม่ทั่วถึง จน ‘กานดา นาคน้อย’ เอาไปเปรยตั้งแง่สงสัยบนหน้าเฟชบุ๊คให้แควนขลับถกเถียงกัน “แบบนี้เรียกว่าซื้อเสียงโดย ‘พรรคข้าราชการ’ ไหมนะ”

ก็มีหลายรายช่วยกันตอบ เช่น S.R. ว่า “กินภาษีเราสองต่อ” ส่วน S.S. บอก “ไม่หรอก แค่เอาใจคน ๒ ล้านคน เพื่อให้ (ควบคุม) ดูแลคน ๖๕ ล้านคน ให้เข้มแข็งมากขึ้น ฮา!”

ขณะที่ สุ.จ. ชี้ “แบ่งชั้นวรรณะ วรรณะข้าราชการได้ดี มีเงินแจก วรรณะไพร่ ก้มหน้าก้มตาจ่ายภาษี” ด้าน พ.ห. แซว “ถามเจ้าของเงินหรือยัง”

ทว่า C.W. ติง “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” และ จ.ท. สะกิด “มาแนวเดียวกัน (กับ) ปชป.เลยนะ”

นั่นสิ อีหรอบเดียวกับ ‘โครงการเช็คช่วยชาติ’ เมื่อครั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แจกรายละสองพันให้กับผู้มีเงินเดือนไม่เกิน ๑๕,๐๐๐ บาท กลายเป็นตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

เพราะผู้ที่ได้รับเช็คไม่ได้มีความจำเป็นต้องจับจ่ายมากเท่าพวกผู้ใช้แรงงานรายได้นอกระบบ เช็คก็เลยไปจมอยู่ในแบ๊งค์เสียละมาก เศรษฐกิจไม่ได้รับการกระตุ้นดังหวัง

ครั้งนี้คงเช่นกัน ข้าราชการล้านคนได้รับเงินโบนัสเพิ่ม เก็บเข้าพกเข้าห่อ แต่ คสช. ได้น้ำใจและความมั่นใจจากผู้สวามิภักดิ์ ช่วยผลักดันโครงการอะไรต่ออะไรของรัฐบาลทหาร

พอถึงตอนต้นสิงหานี้จะได้เฮรัฐธรรมนูญใหม่กันไง