วันพุธ, มิถุนายน 28, 2560

การเยือนอเมริกาครั้งใหม่ อาจทำให้บิีกตูบ ป๋าตือ และผู้นิยม คสช. ทั้งยวง หัวร่อร่า

ข้อเขียนของนายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อิบายเหตุผลที่ไม่สามารถตอบรับคำเชิญจากสถานทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ไปร่วมงานฉลองวันประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกา ๔ กรกฎาคม หรือวันชาติ ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเน็นตอล ในวันที่ ๒๙ มิถุนายนที่จะถึงนี้

แม้นว่า “การที่ได้รับเชิญให้ไปร่วมงานอิสรภาพโดยประเทศที่ก่อเกิดนักคิด นักต่อสู้ และผู้นำที่สรรเสริญสิทธิเสรีภาพย่อมทำให้นักศึกษาผู้ศรัทธาในประชาธิปไตยคนนี้ย่อมปีติอย่างหาที่สุดมิได้

การพรรณนาต่อไปอย่างละเอียดและเต็มไปด้วยวิสัยทัศน์อันเปี่ยมล้นไปด้วยจิตสำนึกแห่งประชาธิปไตย ยังความปลาบปลื้มมาสู่ผู้เรียกร้องประชาธิปไตยให้แก่ประเทศไทยทั้งหลายยิ่งนัก เช่นกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาบอกว่า “เหตุใด...ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัล ทรัมป์ ถึงเชิญพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหาร คสช. ไปเยี่ยมทำเนียบขาวเล่า มันขัดแย้งกันไหม

ถ้าสหรัฐอเมริกาห่วงใยสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยแท้จริงแล้ว จะยินดีจับมือกับผู้นำเผด็จการที่ทำการละเมิดสิทธิมนุษยชน จับกุมขังคนคิดแตกต่าง ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นในสาธารณะและในพื้นทีทางวิชาการได้อย่างไร

เนติวิทย์ยังเอ่ยถึงเอกอัคราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย นายกลิน เดวี่ส์ ว่า “มีอัธยาศัยไมตรีต่อประเทศไทย หลายครั้งท่านได้แสดงจุดยืนสนับสนุนประชาธิปไตยสิทธิเสรีภาพอย่างแจ้งชัด

กับทั้งตั้งความหวังว่า “สหรัฐอเมริกาจะคิดถึงสิทธิเสรีภาพของคนไทยที่ถูกริดลอน และฟื้นฟูแสดงจุดยืนอย่างแจ้งชัดในการส่งเสริมประชาธิปไตยในประเทศไทย เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน อย่างเสมอบ่าเสมอไหล่ ในการนำสังคมทั้งสองไปสู่สังคมที่ทุกคนมีสิทธิ อิสรภาพและความสุขแห่งชีวิตของแต่ละบุคคล


ข้อเขียนของเนติวิทย์เป็นจังหวะปะเหมาะกับความมุ่งหมายของรัฐบาล คสช. ที่ตัวหัวหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งใจอย่างแน่นอนที่จะไปเยือนทำเนียบขาวตามคำเชิญ (ทางโทรศัพท์) จากประธานาธิบดีทรั้มพ์ รอแต่ทางสหรัฐประสานมาว่ากำหนดจะเป็นเมื่อไรแน่

พลันก็ปรากฏข่าวความเคลื่อนไหวของกระทรวงกลาโหมไทย โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการ สั่งให้เหล่าทัพต่างๆ เร่งสำรวจจำนวนและชนิดของอาวุธ ในการพิจารณา “เสริมสร้างขีดความสามารถของกองทัพ” ให้เสร็จก่อนสิ้นเดือนมิถุนานี้เสียด้วย

นำไปสู่การคาดหมายว่าการไปเยือนสหรัฐครั้งใหม่ของนายกรัฐมนตรีรัฐบาลทหารไทยนี้ มีเรื่องช้อปปิ้งยุทโธปกรณ์เป็นไฮไล้ท์

ร้อนถึง พล.อ.ประวิตร ต้องออกมาปฏิเสธด้วยการยอมรับ “บิ๊กป้อมเผยสั่งเหล่าทัพเตรียมข้อมูลทางทหารให้นายกฯ ไป US ยันไม่ใช่ให้ลิสต์ซื้ออาวุธ” ตามที่ @WassanaNanuam เขียนไว้บนทวิตเตอร์

“แต่อาจมีช่วยเหลือทางทหาร รับอยากซื้อ ฮ. Black Hawk ให้ครบฝูง” มีบิ๊กป้อมเป็นรองฯ ก็ดีอย่าง แกโกหกไม่เป็น (ไม่ได้เนียน)

จึงมีคำถาม (นำร่องไว้ก่อนป๋าตือจะออกมายอมรับ) จากนักวิชาการด้านความมั่นคงที่วิเคราะห์เฉาะถึงแก่นว่า “ผู้นำทหารไทยต้องการซื้ออาวุธ และใช้การซื้อนี้เพื่อลดแรงกดดันของสหรัฐ...

กองทัพไทยซื้ออาวุธจากจีนเป็นจำนวนมาก ไทยมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องซื้อจากอเมริกาเพิ่มเติมในขณะนี้” และที่สำคัญ “จะเป็นภาระด้านงบประมาณ...ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้”

ดร.สุรชาติ บำรุงสุข ตั้งข้อสังเกตุไว้ ๑๐ ข้อ ที่รวมถึงข้อคิดว่า คสช.จะผละจากจีนกลับไปหาอเมริกาอีกแล้วหรือ “แต่ไทยอาจต้องมีการแลกทางการเมือง” ดร.สุรชาติบอกว่า “ต้องตามดูในอนาคต”

เฉพาะหน้าตอนนี้ถ้ามีการซื้ออาวุธจำนวนมากพอควร เรื่องรัฐบาลของนายทรั้มพ์จะลดแรงกดดันต่อคณะรัฐประหารไทย เป็นไปได้สูงยิ่ง กรณีนี้ต้องซาอุดิอาราเบียเป็นตัวอย่าง

คงทราบกันดีเรื่องซาอุฯ และพวกพ้องประเทศอาหรับบนอ่าวเปอร์เซียที่เป็นอิสลามเทือกเถา ซุนนี่รวมหัวกันประกาศคว่ำบาตรคาทาร์ (หรือ กาตาร์) ประเทศเศรษฐีน้ำมันที่สนิทกับอิหร่าน (แต่มีฐานทัพอเมริกันตั้งอยู่) และเป็นเจ้าของสำนักข่าวโด่งดังในทางเจาะลึก อัลจาซีร่า

คาทาร์ถูกกลุ่มประเทศอาหรับซุนนี่กล่าวหาว่าเป็นนายทุนหนุนหลังขบวนการก่อการร้ายนานาชาติ รวมทั้งไอสิส แต่นี่ไม่ใช่เหตุเดียวที่ทำให้ประธานาธิบดีทรั้มพ์ประกาศสนับสนุนซาอุฯ อย่างออกนอกหน้า ทั้งที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐแนะว่า ควรวางท่าทีเฉยไว้ก่อน

เบื้องลึกวิเคราะห์กันว่าเป็นเพราะที่ปรึกษาสำคัญวงในใกล้ชิดทรั้มพ์ จาเร็ด คุสชเนอร์ ลูกเขยของเขา กับสตีเฟ็น แบนน่อน นักยุทธศาสตร์มือขวาของทรั้มพ์ แนะให้ออกตัวแรงเช่นนั้น โดยก่อนหน้านี้มีข่าวการเยือนซาอุฯ ของทรั้มพ์
คุสชเนอร์กับแบนน่อน 
ว่าซาอุฯ เตรียมงบประมาณไว้ซื้ออาวุธจากสหรัฐปีหน้าเป็นพันๆ ล้านดอลลาร์
($110 billion according to Anita Kumar of McClatchy News http://www.miamiherald.com/news/politics-government/article153639549.html)

นอกจากนั้น โมฮัมหมัด บิน ซัลมัน โอรสวัย ๓๑ ปีของกษัตริย์ซัลมัน ผู้ช่ำชองด้านธุรกิจการลงทุนทั่วโลก ซึ่งเพิ่งได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นมกุฏราชกุมารแทนอา ข่าวว่าคุยถูกคอกับจาเร็ด คุสชเนอร์ อย่างยิ่งในเรื่องการลงทุนในสหรัฐ (ประเมินว่าระหว่าง ๒๐ ถึง ๔๐ พันล้านดอลลาร์ ในปีหน้า)

ไม่แต่เท่านั้นรัฐบาลสหรัฐยุคทรั้มพ์ (ครึ่งปีกว่าๆ) นี่ กระทรวงต่างประเทศกับทำเนียบขาว ยังต่อกันไม่ค่อยจะติดเท่าไรนัก ทั้งที่ รมว. เร็กซ์ ทิลเลอร์ซัน อดีตซีอีโอของเอ็กซอนโมบิล บริษัทน้ำมันใหญ่ ทรั้มพ์ตั้งมากับมือก็เถอะ

กต.สหรัฐเป็นหน่วยงานขนาดยักษ์ที่ประธานาธิบดีส่วนใหญ่ที่ผ่านมาถ้าไม่พยายามเดินตามให้ทัน ก็ต้องคอยเงี่ยหูฟังว่าเขาจะเอาอย่างไร แต่สำหรับทรั้มพ์เจ๋งกว่าใคร ไม่ฟัง ไม่สน (เรื่องซาอุฯ คว่ำบาตรคาทาร์เป็นตัวอย่าง)

จึงทำให้รัฐมนตรีที่ส่งเข้าไปคุม เลยเคว้ง แถมเป็นคนนอกวงการทูตมาก่อนเสียด้วย
เร็กซ์ ทิลเลอร์ซัน

บทความหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์คไทมส์เรื่อง ‘Where Trump zigs, Tillerson zags…’ เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายนนี้ โดยนักข่าวสามคนร่วมกันเขียน กล่าวถึงการพบกับข้าราชการ กต. ในที่ประชุมใหญ่ของกระทรวงเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ของ รมว.ทิลเลอร์ซัน ว่า

“พวกข้าราชการจำนวนมากให้ความใส่ใจต่อสิ่งที่รัฐมนตรีไม่ได้พูดในปาฐกถาวันนั้นเสียมากกว่า ตลอดสมัยของประธานาธิบดี ๕ คนก่อนหน้านี้ เป้าหมายหลักของการดำเนินงานทางการทูตอเมริกันเน้นอยู่ที่

ทำอย่างไรจะใช้อิทธิพลของอเมริกาในการสร้างความก้าวหน้าทางด้านสิทธิมนุษยชนของชนส่วนน้อยทั่วโลกได้ และจะเจรจาควบคุมอาวุธ หรือวางแนวทางปฏิบัติให้ชาติต่างๆ ที่โจมตีกันด้วยอาวุธไซเบอร์ประพฤติได้อย่างไร

เดี๋ยวนี้ไม่เป็นอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว”


เมื่อพูดถึงเรื่องสิทธิมนุษยชน รัฐมนตรีทิลเลอร์ซันบอกกับข้าราชการกระทรวงต่างประเทศว่า “ขณะที่สหรัฐยังคงให้คุณค่าล้ำเลิสต่อเสรีภาพ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และแบบอย่างที่ผู้คนควรได้รับการปฏิบัติต่อ

แต่คุณค่าเหล่านั้นจะไม่ถูกนำมาสะท้อนให้เห็นในนโยบายของรัฐบาล ค่านิยมจะมาเป็นอุปสรรคต่อความแกร่งกล้าสามารถ ในการสร้างเสริมผลประโยชน์ทางด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจของเราไม่ได้”

คำพูดแบบนี้ถ้ามันถูกเปลี่ยนเป็นการกระทำจริงๆ ทั้งเนติวิทย์และ ดร.สุรชาติ คงต้องผิดหวังอย่างแรง ในขณะที่ บิ๊กตูบ ป๋าตือ และผู้นิยม คสช. ทั้งยวงหัวร่อร่า เย้ยว่าเห็นไหมอเมริกายังเอาอย่างตู