วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 06, 2560

ประชาธิปไตยมิใช่แค่การเลือกตั้ง :ชำนาญ จันทร์เรือง


ข้อถกเถียงที่สำคัญของสังคมไทยในปัจจุบันประเด็นหนึ่งก็คือ “การเลือกตั้ง” ซึ่งมีแนวคิดแตกต่างกันออกไปเป็น 2 ขั้วใหญ่ๆ คือ

แนวคิดแรกเห็นว่าการเลือกตั้งเป็นสิ่งสำคัญจึงจำเป็นที่จะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้มีการเลือกตั้งให้ได้เพื่อให้เห็นว่าบ้านเมืองนั้นเป็นประชาธิปไตย

แต่แนวคิดที่สองเห็นว่าระบบการเลือกตั้งที่ผ่านมาทำให้ได้กลุ่มการเมืองที่เข้ามาทุจริตคอร์รัปชันหรือเผด็จการรัฐสภา จึงจำเป็นต้องควบคุมการเจริญเติบโตของพรรคการเมืองหรือนักการเมืองให้มากที่สุด โดยเห็นว่าการเลือกตั้งไม่ใช่สิ่งจำเป็นสูงสุด จะมีเมื่อไหร่ก็ได้

ทั้งสองแนวคิดนั้นผมเห็นว่าต่างก็ผิดและถูกทั้งคู่ ซึ่งจะสามารถอธิบายได้ด้วยหลักการของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงว่ามีองค์ประกอบอะไรบ้าง

องค์ประกอบของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

1. การเลือกตั้ง (election) แน่นอนว่าในระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน (representative democracy) การเลือกตั้งย่อมเป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นกระบวนการคัดสรรตัวบุคคลเพื่อไปทำหน้าที่แทนประชาชนในสถาบันนิติบัญญัติและบริหาร รวมถึงตุลาการด้วยในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา เป็นต้น ซึ่งการเลือกตั้งในระบอบธิปไตยนั้นจะต้องประกอบไปด้วยหลักการดังต่อไปนี้                                                                                                                                                                              
1.1 เป็นการทั่วไป (in general)
บุคคลที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งจะต้องเป็นบุคคลที่อายุเข้าเกณฑ์ประชาชน ตามที่กฎหมายกำหนดด้วยเหตุผลทางวุฒิภาวะ เช่น 16,18 หรือ 20 ปี เป็นต้น โดยต้องไม่จำเพาะเจาะจงว่าเป็นคนชนชั้นใด ไพร่หรือผู้ดี ไม่ว่าจะจบการศึกษาในระดับใด เพศใด หรือมีฐานะทางการเงินหรือไม่

1.2 เป็นอิสระ (free voting)
ในการเลือกตั้งนั้นประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีอิสระอย่างเต็มที่ที่จะเลือกตัวแทนของตนโดยไม่ได้ถูกบังคับ  ขู่เข็ญ กดดัน ชักจูงหรือได้รับอิทธิพลใดๆทั้งสิ้น

1.3 มีระยะเวลา (periodic election)
การเลือกตั้งจะต้องมีการกำหนดว่าการเลือกตั้งแต่ละครั้งจะกำหนดระยะเวลาไว้เท่าใด โดยกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศเป็นการแน่นอน เช่น ส.ส. 4 ปี (อเมริกา 2 ปี, อังกฤษ 5 ปี) ส.ว. 6 ปี เป็นต้น หรือเลือกตั้งเมื่อมีการยุบสภาในระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา (parliamentary system) (ในระบบประธานาธิบดี (presidential system) ไม่มีการยุบสภาฯ)

1.4 การลงคะแนนลับ (secret voting)
เพื่อให้ผู้ที่เลือกตั้งสามารถเลือกบุคคลที่ต้องการเข้าไปเป็นตัวแทนของตนได้อย่างเป็นอิสระ ไม่ต้องเกรงใจใครหรือไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของใคร ในการเลือกตั้งทุกครั้งจึงกำหนดให้แต่ละคนสามารถเข้าไปในคูหาเลือกตั้งได้เพียงครั้งละ 1 คน ยกเว้นบางประเทศที่กฎหมายอนุญาตไว้เป็นข้อยกเว้นเช่น คนพิการหรือคนแก่ เป็นต้น และไม่จำเป็นจะต้องบอกให้คนอื่นทราบว่าตัวเองเลือกใคร หลักการลงคะแนนลับนี้ถือว่าสำคัญมากเพราะแม้แต่ศาลเองก็ไม่สามารถจะสั่งให้เราให้การว่าในการเลือกตั้งนั้นเราลงคะแนนให้แก่ผู้ใด

1.5 หนึ่งคนหนึ่งเสียง (one man one vote)
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกคนมีสิทธิในการออกเสียงได้เพียง 1 เสียงเท่ากัน ไม่ว่าจะมีฐานะอะไร หรือมีบทบาทสำคัญทางการเมืองอย่างไร ก็มีสิทธิได้เพียง 1 เสียงเท่านั้น

1.6 บริสุทธิ์ยุติธรรม (fair election)
หลักการนี้อาจถือได้ว่าเป็นหลักที่สำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะในหลัก 5 ข้อข้างต้นอาจจะมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันไปในบริบทของแต่ละประเทศ แต่ถึงแม้ว่าจะมีครบทั้ง 5 หลักข้างต้นแล้วหากขาดเสียซึ่งหลักแห่งความบริสุทธิ์ยุติธรรมแล้วการเลือกตั้งนั้นก็จะเสียไป

อย่าลืมว่าในประเทศเผด็จการทั้งหลายแม้จะใช้ชื่อว่าประชาธิปไตยก็ตาม เช่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยเกาหลี (เกาหลีเหนือ) ฯลฯ ต่างก็มีการเลือกตั้งเช่นกัน แต่การเลือกตั้งในประเทศเผด็จการทั้งหลายนั้นเป็น การบังคับเลือก” (จะเอาหรือไม่เอา) ที่เรียกได้ว่าเป็นการเลือกตั้งแต่เพียงรูปแบบเท่านั้น

2. การตรวจสอบ (monitor) การตรวจสอบเป็นวิธีการที่พลเมืองจะติดตามการประพฤติปฏิบัติของตัวแทนที่ตนเองเลือกเข้าไปทำหน้าที่แทนตนว่าเป็นไปตามที่ได้ให้นโยบายหรือหาเสียงไว้หรือไม่ เป็นไปอย่างถูกต้องตามบทบาทหน้าที่ของตนหรือไม่ ซึ่งในประเทศที่ไม่มีประชาธิปไตยที่แท้จริงจะไม่มีสิ่งนี้ แต่จะมีสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย 4 วินาที” ซึ่งหมายถึงการหย่อนบัตรเลือกตั้งแล้วก็แล้วกันไป

3. การถอดถอน (recall) เป็นการแสดงออกซึ่งอำนาจอธิปไตยของประชาชนที่เมื่อตรวจสอบตามข้อ 2 แล้วยังสามารถมีสิทธิออกเสียงหรือถอดถอนบุคคลต่างๆ บนหลักการพื้นฐานที่ว่า “เมื่อเลือกตั้งเข้ามาได้ก็ย่อมที่จะสามารถถอดถอนได้” เช่นกันนั่นเอง

4. การออกเสียงประชามติ (referendum and plebiscite) การออกเสียงประชามตินั้นถือได้ว่าเป็นประชาธิปไตยทางตรง (direct democracy) อย่างหนึ่ง โดยแบ่งการออกเสียงประชามติออกเป็น 2 ประเภท คือ

referendum ซึ่งหมายถึงอำนาจที่ประชาชนมีเพื่อใช้ตัดสินปัญหาต่างๆ ของรัฐ ตามความต้องการหรือเจตจำนงของตน ส่วนใหญ่ในทางปฏิบัติมักเกี่ยวข้องกับกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ยกร่างขึ้นใหม่ หรือแก้ไขเพิ่มเติมในตอนใดตอนหนึ่ง หรือการตัดสินใจที่สำคัญๆ ที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ เช่น การแยกประเทศ เป็นต้น

ส่วน plebiscite ในทางปฏิบัติเมื่อรัฐบาลมีปัญหาในระดับนโยบายที่ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ เนื่องจากเมื่อตัดสินใจไปแล้วอาจเกิดผลกระทบรุนแรงต่อสังคม เช่น การเปิดบ่อนการพนันโดยเสรี การที่จะให้กัญชาหรือการประกอบอาชีพขายบริการทางเพศเป็นสิ่งที่ไม่ผิดกฎหมายอาญา (decriminalization) เป็นต้น แต่ในระยะหลังๆ นี้สื่อและคนทั่วไปมักใช้รวมกันเป็น referendum ไปเสียเกือบหมด

5. ประชาชนมีสิทธิเสนอร่างกฎหมาย (initiative) หากฝ่ายนิติบัญญัติไม่ทำตามหรือไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างเหมาะสม

ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 2560 ตามมาตรา 133 กำหนดว่า ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 10,000 คนขึ้นไป สามารถเสนอ ร่างพ.ร.บ.ตามที่บัญญัติไว้ในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย กับหมวด 5 หน้าที่ของรัฐได้

จากที่กล่าวมาทั้งหมดสามารถกล่าวได้ว่า การเลือกตั้งเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบอบประชาธิปไตยที่จะขาดเสียมิได้ แต่การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยนั้นจะต้องเป็นการทั่วไป เป็นอิสระ มีระยะเวลา เป็นการลงคะแนนลับ หนึ่งคนหนึ่งเสียง และที่สำคัญที่สุดคือบริสุทธิ์ยุติธรรม

ซึ่งมิได้หมายความว่าเมื่อมีการเลือกตั้งก็เป็นประชาธิปไตยแล้ว แต่จะต้องประกอบไปด้วยการตรวจสอบ การถอดถอน การออกเสียงประชามติ และประชาชนมีสิทธิเสนอร่างกฎหมายได้ด้วย จึงจะเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
เข้าใจตรงกันนะครับ
----------
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 5 กรกฎาคม 2560