วันจันทร์, ตุลาคม 27, 2557

บันทึกถ้อยคำต่อคดี–ทัศนคติต่อชีวิตและสังคม ของ ข.ญ.ภรณ์ทิพย์

Sun, 2014-10-26 23:31ที่มา ประชาไท

หมายเหตุ ภรณ์ทิพย์ หรือ กอลฟ์ และปติวัฒน์ หรือแบงก์ เป็นสองผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 จากกรณีละครเวทีเจ้าสาวหมาป่า ทั้งคู่ถูกฝากขังครบ 7 ผลัดและอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ 24 ต.ค.ที่ผ่านมา แต่ในวันดังกล่าวยังมิได้นำตัวจำเลยมาศาลเพื่อรับฟังคำฟ้องและสอบคำให้การ ดังนั้นในวันจันทร์นี้ (27 ต.ค.57) ทั้งคู่จะถูกนำตัวขึ้นศาลเพื่อรับฟังคำฟ้องและสอบคำให้การว่าจะรับสารภาพหรือไม่ และทนายจำเลยจะได้เห็นคำฟ้องของอัยการในวันนี้เช่นกัน

วันที่ 15 สิงหาคม 2557 ข้าพเจ้าถูกจับกุมที่สนามบินนานาชาติหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ขณะที่กำลังจะเดินทางไปแสดงละครเวทีที่สตูดิโอของเพื่อนชาวมาเลเซีย และมีแผนการเดินทางต่อไปยังซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลียด้วยวีซ่า work and holiday เพื่อทำตามความฝันของข้าพเจ้า เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองดูแลข้าพเจ้าเป็นอย่างดี ซึ่งในขณะที่ถูกจับกุมนั้นข้าพเจ้าไม่ทราบว่ามีหมายจับมาก่อน

หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ชนะสงคราม 2 นาย เดินทางไปรับข้าพเจ้าด้วยเครื่องบินพาณิชย์และนั่งแท็กซี่โดยสารพาข้าพเจ้ามาถึง สน. ข้าพเจ้าพบว่ามีเพื่อนๆ มากมายมารอรับข้าพเจ้าตั้งแต่เวลาหัวค่ำ แต่กว่าข้าพเจ้าจะเดินทางไปถึงก็เวลาประมาณสี่ถึงห้าทุ่มแล้ว

รุ่งเช้าข้าพเจ้าได้เดินทางไปศาลอาญารัชดา โดยขณะเดินทางนั้นข้าพเจ้าต้องถูกคลุมใบหน้าเพื่อหลบสื่อมวลชนที่มารอทำข่าวเป็นจำนวนมาก ข้าพเจ้าถูกนำขึ้นรถตำรวจแต่มิได้นั่งรวมกับนักโทษอื่นๆ ข้าพเจ้าถูกแยกไปนั่งที่แคปของรถคันนั้น ข้าพเจ้ามาทบทวนดูแล้วข้าพเจ้าสบายกว่าคนอื่นๆ ตั้งแต่การไปรับด้วยเครื่องบินพาณิชย์จนถึงการนั่งเบาะและรับแอร์ในขณะเดินทางไปศาล ช่างเป็นโชคดีของข้าพเจ้าจริงๆ

หลังจากศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว ซึ่งตัวข้าพเจ้ารู้อยู่แล้วว่าอย่างไรก็ไม่มีทางได้ประกันตัว ข้าพเจ้าร้องไห้อย่างหนัก แต่ข้าพเจ้าจำไม่ได้แล้วว่าร้องไห้ไปกับเรื่องอะไรบ้าง เพราะคงจะมีหลายเรื่องหมุนเวียนอยู่ในหัวของข้าพเจ้า เพื่อนๆ และผู้คนมากมายรอส่งข้าพเจ้าเข้าเรือนจำ ซึ่งถึงเวลานั้นข้าพเจ้าหยุดร้องไห้แล้ว ก่อนที่จะเข้าเรือนจำข้าพเจ้าพยายามสอบถามเรื่องการใช้ชีวิตในเรือนจำจากเพื่อนผู้ต้องขังบางคนที่เคยอยู่ที่นั่นมาก่อนแล้วเพื่อเตรียมตัวพร้อมรับสภาพใหม่ ข้าพเจ้าผ่านเข้าเรือนจำตามขั้นตอนเหมือนผู้ต้องขังคนอื่นๆ มีผู้ต้องขังที่มาพร้อมกับข้าพเจ้ามากเหมือนกัน ทั้งๆ ที่วันนั้นเป็นวันเสาร์

คืนแรกในเรือนจำข้าพเจ้าไม่ร้องไห้เลย เพราะข้าพเจ้าตระหนักได้แล้วว่า สิ่งที่จะรักษาหัวใจของข้าพเจ้าได้คือรอยยิ้มของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าจึงเริ่มยิ้มให้กับทุกคนเพราะหากเราไม่ยิ้มให้กับตัวเองก็จะไม่มีใครยิ้มให้กับเรา เมื่อข้าพเจ้ายิ้มได้ข้าพเจ้าก็มีแรงในการปลอบประโลมคนอื่นๆ บางคนร้องไห้ บางคนเครียดมาก แต่เราทุกคนก็ต้องผ่านคืนแรกไปพร้อมๆ กัน ไม่มีประโยชน์ที่จะร้องไห้หรือเครียดกับสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้ว หลับและตื่นขึ้นมาเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตดีกว่า

ในระหว่างที่ข้าพเจ้าเป็นตาแดง ข้าพเจ้ารู้ว่าคนข้างนอกกระวนกระวายใจและเป็นห่วงข้าพเจ้า โชคชะตาทำร้ายข้าพเจ้ามากเกินพอแล้ว จึงไม่มีอะไรอยากทำร้ายข้าพเจ้าอีกแล้ว

คำแนะนำจากเพื่อนผู้ต้องขังเกิดขึ้นกับข้าพเจ้ามากมาย หลายคนบอกว่าข้าพเจ้าจะอยู่ที่นี่ไม่นานก็จะได้กลับบ้านแล้ว แต่ข้าพเจ้าเองรู้ดี และเตรียมอกเตรียมใจไว้แล้วว่าคดีของข้าพเจ้านั้นไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ข้าพเจ้าได้แต่ยิ้มขอบคุณพวกเขาเพราะข้าพเจ้าเองก็เหนื่อยล้าเกินไปที่จะอธิบายอะไรเสียแล้ว

เมื่อวันพุธที่ 20 สิงหาคม ข้าพเจ้าได้ร่วมมือกับพวกเขาฆ่านกน้อยในหัวใจของข้าพเจ้าไปเสียแล้ว...

ข้าพเจ้าไม่อาจอดทนหรือเผชิญหน้ากับความกลัวได้อีกต่อไป “อย่าร้องไห้ต่อหน้าศัตรูของเรา” คือคำที่ข้าพเจ้าเคยบอกแก่มิตรสหายเอาไว้ แต่ตัวข้าพเจ้าเองกลับทำมันไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่มีหน้าจะไปกล่าวอะไรกับใครอีกแล้ว นกน้อยในหัวใจของข้าพเจ้าถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมด้วยมือของข้าพเจ้าเอง และอีกไม่นานตัวของข้าพเจ้าก็จะถูกทอดทิ้งไว้ในที่ๆ ผู้คนไปไม่ถึง... ต่อไปจากนี้ข้าพเจ้าจะกลายเป็นตัวอะไร ที่ทางของข้าพเจ้าจอยู่ที่ไหนกัน ความฝันของข้าพเจ้าจะยังคงอยู่ไหม โรงเรียนของเด็กๆ จะยังมีอีกไหม... แม้ว่าคนรักของข้าพเจ้าจะรับปากว่าเขาจะทำทุกสิ่งอย่างในความฝันนั้นแทนข้าพเจ้า แต่มันจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อนกน้อยของข้าพเจ้าตายลงไปเสียแล้ว

เมื่อวันที่ 2 กันยายน นอกจากข้าพเจ้าจะฆ่านกน้อยในหัวใจของข้าพเจ้าด้วยการร่วมมือกับศัตรูของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้ายังเอาศพของมันผูกด้วยเชือกแล้วจูงลากไปเรื่อยๆ ข้าพเจ้าโบยตีศพของมันแล้วชำแหละศพนั้นออกเป็นชิ้นๆ นกน้อยเหลือแต่เพียงซากขนจมกองเลือด ข้าพเจ้ามิอาจทำอะไรได้มากไปกว่านี้ ณ เวลานี้ข้าพเจ้าไม่ได้มีพลังมากพอจะปกป้องใครๆ ได้อีกแล้ว ราวกับว่าการแสดงบนเวทีจบลง แท้จริงแล้วข้าพเจ้าไม่เคยแสดงเป็นใครอื่นเลย

หลายคนบริจาคเงินให้ข้าพเจ้าผ่านกลุ่ม-องค์กรต่างๆ แต่นั่นทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นภาระของคนอื่น สิ่งเหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้าลดความศรัทธาในตัวเองลงไปไม่น้อยทีเดียว

คนรักของข้าพเจ้าพยายามเพื่อข้าพเจ้ามากมายเหลือเกิน เพื่อนผู้ต้องขังหลายคนยินดีกับข้าพเจ้าที่มีทั้งคนรักและมิตรสหายมาเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจ ข้าพเจ้ามีผู้ชายที่รักและพร้อมจะต่อสู้ไปกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีมิตรแท้ที่ไม่เคยทิ้งข้าพเจ้าไปไหน แม้ว่าข้าพเจ้าจะทำตัวร้ายกาจเพียงใด ข้าพเจ้ามีพ่อแม่ที่สอนให้ข้าพเจ้าเข้มแข็งไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา จริงๆ แล้วข้าพเจ้ารู้ว่ามีผู้ชายอีกหลายคนหลงรักข้าพเจ้า แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้พวกเขายังรักข้าพเจ้าอยู่ไหมและเมื่อข้าพเจ้าออกไปแล้วจะยังเหลือคนที่รักข้าพเจ้าอยู่

พวกเราหลายคนตั้งคำถามเสมอว่าทำไมไม่มีใครมาเยี่ยมพวกเขาเลย ตัวข้าพเจ้าเองก็ได้แต่ปลอบใจว่าข้างนอกนั้นวุ่นวาย จึงมีคนมาเยี่ยมได้ยาก ไม่มีใครทอดทิ้งพวกเขาหรอก แต่ตัวข้าพเจ้าเองก็ไม่เคยแน่ใจเลยว่า นานวันไปจะยังมีใครมาสนใจใยดีข้าพเจ้าอยู่ไหม

หลายคนเตือนข้าพเจ้าว่าอย่าไว้ใจใครง่ายๆ เพราะทุกคนล้วนเห็นแก่ตัวและเอาตัวรอดด้วยกันทั้งนั้น แต่ข้าพเจ้ายังเชื่อเสมอว่า มนุษย์ทุกคนมีความดีหลงเหลืออยู่เสมอ หากเราเชื่อมั่นในความดีของมนุษย์เราก็จะไม่ลังเลที่จะทำดีต่อคนอื่นเลย ยูเฟรเซีย บอกว่ารอยยิ้มของข้าพเจ้าทำให้เธอสามารถยิ้มได้ ทำให้เธอสดใสได้ในทุกๆ วัน ข้าพเจ้ารู้ดีว่ารอยยิ้มนั้นมีพลังรักษาคนได้

ผู้ที่ไร้ที่พึ่งพร้อมใจกันเดินเข้าไปหาที่ใดก็ตามที่เขารู้ว่าสามารถให้ความช่วยเหลือแก่เขาได้ หากว่าข้าพเจ้าวางตัวเป็นคนเห็นแก่ตัวและนิ่งเฉยต่อความทุกข์ของผู้อื่นก็คงไม่มีใครอยากเดินเข้ามาหาข้าพเจ้า

อีกสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้รับคือ การสรุปบทเรียนแห่งความผิดพลาดของคนอื่น นี่คือแหล่งเรียนรู้แหล่งใหญ่ของข้าพเจ้า ที่เดียวได้ครบเกือบทุกอย่าง และที่สำคัญกว่าคือการสรุปบทเรียนความผิดพลาดของตัวข้าพเจ้าเอง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การสรุปบทเรียนของตัวเองนั้นก็ไม่เคยสมบูรณ์ เพราะข้าพเจ้ากระหายในเรื่องราวของผู้คนมากกว่านิ่งจมอยู่กับความผิดพลาด และการสรุปบทเรียนนั้นควรสรุปด้วยกันกับคนข้างนอก เพราะนี่มิใช่แค่เรื่องของข้าพเจ้าคนเดียว

ข้าพเจ้ารับฟังประวัติศาสตร์บอกเล่าในสนามรบจากปากของคนธรรมดา ไม่น่าเชื่อว่าคุณยายแก่ๆ คนหนึ่งจะรู้จักกับครูครอง จันดาวงศ์ คำบอกเล่าเหล่านี้ชะโลมหัวใจของข้าพเจ้าราวกับการนั่งฟังยายเล่านิทานให้ฟังตอนเด็กๆ มีในหนังสือบ้าง ไม่มีในหนังสือบ้าง เรื่องราวของผู้คนในยุคสงครามคอมมิวนิสต์นี่ฟังกี่ครั้งก็สนุกทุกที ข้าพเจ้าเห็นภาพว่า ในภาวะสงคราม ข้าวของล้วนหายากและมีราคาแพงเกินความเป็นจริง ช่วงเวลานั้นคนที่ได้ประโยชน์คือผู้ครองตลาดและมองเห็นช่องทางการค้า แต่คนที่ลำบากซ้ำซากคือคนจน อย่างไรเสียคนจนและคนไร้อำนาจก็ลำบากที่สุดเสมอไม่ว่ายุคไหน สมัยไหน ข้าพเจ้าอดกลับไปคิดไม่ได้ว่าถ้าหากข้าพเจ้ารวยกว่านี้ ข้าพเจ้าก็อาจไม่ต้องเข้ามาอยู่ที่นี่ก็ได้ แม้รู้ว่าคิดแล้วไม่ได้ประโยชน์อะไรแต่มันทำให้ข้าพเจ้าตระหนักได้ว่าข้าพเจ้าต้องรวยให้ได้เพื่อจะเป็นหลักยึดให้กับคนอื่นๆ จะมีประโยชน์อะไรหากข้าพเจ้าเป็นเพียงต้นหญ้าเล็กๆ ไม่ใช่ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาแก่ผู้อื่น แต่มามองดูอีกทีหากขาดต้นหญ้าเล็กๆ แล้ว ผืนดินที่จะให้ต้นไม้ใหญ่เติบโตก็อาจถูกกัดเซาะทำลายลงได้ ข้าพเจ้ามีความสุขกับการได้เป็นทั้งสองอย่าง แต่คนเราควรเลือกเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่หลายๆ อย่าง แต่ใครจะไปรู้ อาจมีคนทำได้ แต่ข้าพเจ้ายังหาเขาไม่เจอ...

การมาเยี่ยมข้าพเจ้าแต่ละครั้ง ช่างเป็นช่วงเวลาที่เพื่อนๆ ต้องใช้เวลามากๆ พวกเขายังมาเยี่ยมข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอบคุณเหลือเกิน

ภาพจาก James Walsky
ใครๆ ก็อยากรู้ชะตาชีวิตของตัวเอง ใครๆ ก็อยากกำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง ด้วยวิธีที่ตามองไม่เห็น แต่อย่างไรก็ตาม การกระทำต่างหากที่เป็นตัวกำหนดชะตากรรมของเขา ไม่ใช่เพียงการกระทำของเรา แต่ยังรวมไปถึงการกระทำของผู้อื่นที่กระทำต่อเราด้วย หากผู้กระทำนั้นมีอำนาจมากกว่าเรา นั่นแปลว่าเขาจะกลายเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของเรา หากเรายอมจำนนต่อการกำหนดนั้น ชีวิตเราก็จะถูกขีดเส้นด้วยผู้มีอำนาจอันกระทำต่อเรา แต่หากเราไม่ได้ให้ความยินยอมเสียอย่าง ชะตากรรมที่คนอื่นขีดไว้ให้เราก็เพียงอุปสรรคของชีวิต

นี่อาจเป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าสามารถคิดวางแผนชีวิตใหม่ได้ดีกว่าเดิม บางครั้งการพุ่งชนกับอุปสรรคก็อาจทำให้เราผ่านมันไปได้ง่ายขึ้น ในความจริงแล้วอุปสรรคเป็นเพียงบททดสอบของชีวิต วิกฤตมาพร้อมโอกาสเสมอ อย่างดีที่สุดตอนนี้ชื่อของข้าพเจ้าก็เป็นที่รู้จักในระดับสากล ความฝันที่จะได้ออกเดินทางเปิดการแสดงทั่วโลกคงไม่ไกลเกินไป ความฝันที่จะมีโรงเรียนให้เด็กๆ คงไม่ยากเกินไป บางทีโครงสร้างพื้นฐานในชีวิตของข้าพเจ้าอาจจะมั่นคงและลงเสาเข็มได้ง่ายขึ้น

ช่วงอายุ 26-27 ควรจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้ากลับต้องเข้ามาอยู่ในคุก หรือบางทีมันอาจจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตข้าพเจ้าก็ได้ ความจริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างอาจไม่ได้เดินตามดวงเสมอไป แต่เดินตามการกระทำและสถานการณ์ ทุกอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ มีผู้เกี่ยวข้องกับชีวิตเรา เราเกี่ยวข้องกับชีวิตคนอื่นๆ ทุกคนล้วนเป็นผู้ทำให้ชะตากรรมหรือดวงของกันและกันเปลี่ยนแปลงและเป็นไป และหากวิธีคิดของเราเป็นเช่นไร ก็จะกำหนดชีวิตของเราให้เป็นเช่นนั้น วิธีคิดของเรามาจากไหน ก็มาจากสภาพแวดล้อมของเรา มาจากผู้คนรอบข้างเรา มาจากความสนใจของเราที่จะกำหนดการตัดสินใจของเราในแต่ละช่วงของชีวิต ข้าพเจ้ายังไม่แน่ใจว่า ดวง-เส้นลายมือ เดินตามการกระทำของเราหรือเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจของเรา นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องหาคำตอบต่อไป

สิ่งที่คนอื่นนิยามตัวเรา หรือสิ่งที่เราแสดงออกต่อคนอื่นด้วยการกระทำของเรา อะไรคือตัวกำหนดตัวตนของเรากันนะ ... ข้าพเจ้าเกิดข้อสงสัยนี้จากกรณีของหมอดูเพราะเวลาที่มีคนดูหมอดูมาแล้ว ทักว่าเค้าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เขาก็จะแสดงพฤติกรรมนั้นชัดเจนมากขึ้น หรืออาจเพราะคนเราต้องการการสนับสนุนพฤติกรรมเพื่อกำหนดตัวตนของตัวเอง

ข้าพเจ้าคิดถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับมากกว่าสิ่งที่เสียไป แต่การถูกจองจำก็ไม่ควรนานเกินไป ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ชีวิตมนุษย์ สูตรขนม และผู้คนที่หลากหลาย เทคนิคการนวดแบบมาดากัส ความจริงแล้วข้าพเจ้ามีปีศาจสิงอยู่ในหัวใจเสมอ เพียงแต่บางครั้งมันแอบซ่อนอยู่ และความงดงามของชีวตมีอยู่ทุกที่ เด็กสาวอายุ 18 จากชุมแพนำความฉะฉานมาสู่ข้าพเจ้า เธออ้าแขนโอบกอดปกป้องข้าพเจ้าจากอันตราย

การรอคอยญาติมาเยี่ยมเป็นสิ่งที่ทุกคนต่างเฝ้ารอ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่ามันจะทรมานขนาดไหนหากไม่มีใครมาเยี่ยมเรานานๆ ตัวของเราคงหดเล็กลงเหลือเท่ากับมด ข้าพเจ้าเกลียดการรอคอย เกลียดการไม่รักษาคำพูด แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าต้องรอคอยซ้ำๆ การรอคอยที่โหดร้ายที่สุดคือ การรอคอยที่ไม่สมหวัง... เมื่อถึงวันเสาร์ข้าพเจ้ารอคอยวันอาทิตย์ เมื่อถึงวันอาทิตย์ข้าพเจ้ารอคอยวันจันทร์

ข้าพเจ้าเฝ้าตั้งคำถามเสมอว่าทำไมผู้ใหญ่ไม่ช่วยข้าพเจ้าบ้าง หรือจะช่วยข้าพเจ้าให้สุดทางดังเช่นที่เขาช่วยคนอื่นๆ พวกเขาเกรงกลัวอะไรที่จะช่วยข้าพเจ้าให้ปลอดภัย มีมิตรสหายเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่คอยช่วยข้าพเจ้าอย่างจริงจัง ข้าพเจ้าไม่สำคัญหรือ ข้าพเจ้าไม่ทุ่มเทมากพอหรือ ข้าพเจ้าไม่มีค่าพอหรือ พวกเขาจึงทอดทิ้งข้าพเจ้าไว้... ข้าพเจ้าไม่ให้อภัย

สุดท้ายพวกมนุษย์ผู้ใหญ่ก็เป็นเหมือนกันหมดไม่ว่าฝ่ายไหน พวกเขาพร้อมจะยืนอยู่บนความสำเร็จ เกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง โดยไม่สนใจว่าต้องใช้ใคร ใช้ความเชื่อใจของใครเพื่อเดินไปถึงจุดที่พวกเขาต้องการ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าต่อไปจากนี้ข้าพเจ้าจะไว้ใจหรือเชื่อใจใครได้อีก มีใครไหมไม่หวังเอาประโยชน์จากความเชื่อมั่นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคงทำให้บางคนหวาดกัว และมองความเชื่อมั่นนั้นเป็นอันตรายต่อพวกเขา ข้าพเจ้าไม่รู้ความจริงคืออะไร ใครพูดจริง ใครพูดโกหก

ข้าพเจ้ากลัวการโตเป็นผู้ใหญ่จับใจ ผู้ใหญ่ซับซ้อนเกินไป พวกเขาไม่ตรงไปตรงมา พวกเขาไม่สนใจความทุกข์ของคนอื่น พวกเขาเห็นแก่ตัวมากกว่าแบ่งปัน ข้าพเจ้าไม่อยากโตไปมากกว่านี้ การเป็นผู้ใหญ่มีความทุกข์มากมายเหลือเกิน

ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะเป็นสัญลักษณ์ของอะไรหรือใช้ชีวิตตามความคาดหวังของใคร ข้าพเจ้าเป็นข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าไม่อยากสูญเสียเวลามากมายไปกับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าต้องการให้ทุกอย่างจบเร็วที่สุด แต่มันควรจะเป็นประโยชน์แก่สาธารณชนบ้าง ข้าพเจ้าไม่อยากให้การถูกจองจำของข้าพเจ้าสูญเปล่า อย่างน้อยๆ ข้าพเจ้าควรยืนยันในสิทธิการตีความทางศิลปะเสียก่อนที่จะยอมรับสารภาพ

เพราะตอนนี้สถานะของข้าพเจ้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากเด็กผู้หญิงที่รักในการเล่นละครและเชื่อมั่นในพลังของมัน กลายเป็น นักต่อสู้ผ่านงานศิลปะ แต่ตัวข้าพเจ้ารู้ดีว่าข้าพเจ้าไม่ใช่นักต่อสู้ ข้าพเจ้าเป็นเพียงนักแสดง ข้าพเจ้าต้องทบทวนว่าสถานะใหม่ที่พวกเขามอบให้ข้าพเจ้านั้นเป็นประโยชน์หรือโทษกับข้าพเจ้ามากเพียงใด ข้าพเจ้าต้องรอบคอบกับชีวิตกว่าเดิม

แต่ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่ข้าพเจ้ายังเชื่อมั่นและเชื่อมั่นมากกว่าเดิม คือ “ละครเปลี่ยนสังคมนี้ได้” ละครไม่ใช่แค่เครื่องบันเทิง ละครเข้าถึงผู้คนรากหญ้า หาใช่ศิลปะของคนชั้นสูง

หากข้าพเจ้าตัดสินใจยอมรับสารภาพจะยังมีใครรักและชื่นชมข้าพเจ้าต่อไปไหม พวกเขาจะยังดูแลครอบครัวของข้าพเจ้าไหม เมื่อวานข้าพเจ้าอิ่มเอมกับการได้รับกำลังใจ แต่ลึกๆ แล้วข้าพเจ้าต้องการใช้ชีวิตมากกว่า หากข้าพเจ้าตัดสินใจจะรับสารภาพแล้วข้าพเจ้าจะให้เพื่อนๆ หาหลักฐานหรืออะไรมากมายไปเพื่ออะไรกัน เมื่อตัวข้าพเจ้าเลือกจะยอมแพ้แล้วก็ไม่ควรให้พวกเขาต้องมาเหนื่อยเพราะข้าพเจ้าอีก

ข้าพเจ้าไม่สามารถปกป้องใครได้อีกต่อไป แม้แต่ตัวข้าพเจ้าเองข้าพเจ้าก็ปกป้องไม่ได้ ความฝังใจถึงคำโกหกของพวกผู้ใหญ่ การไร้ความจริงใจของพวกเขายังติดอยู่ในทุกๆ มโนสำนึกของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเต็มไปด้วยความหวาดระแวง เมื่อถึงเวลาที่ข้าพเจ้าไร้ประโยชน์ ไม่สามารถช่วยใครได้อีก ข้าพเจ้าก็เป็นแค่คนไร้ค่าเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนๆ ข้างในหรือข้างนอก ข้าพเจ้าพยายามทำทุกอย่างเต็มที่ พยายามสร้างประโยชน์แก่ผู้อื่น เพื่อที่พวกเขาจะให้คุณค่าแก่ข้าพเจ้า เพราะตัวข้าพเจ้าไม่อาจอยู่ได้โดยไร้คุณค่า ข้าพเจ้าขาดความรัก ขาดการมอบคุณค่า ข้าพเจ้าจึงแสวงหามันมากกว่าคนอื่นๆ แต่สุดท้ายข้าพเจ้าก็ไม่ได้อะไรกลับมา

มีผู้คนมากมายเสียสละมากกว่าข้าพเจ้า พวกเขายอมแลกแม้แต่ชีวิตและอิสรภาพ เหตุใดพวกเขาจึงไม่ได้รับการดูแลเลย อะไรคือสิ่งตอบแทนสำหรับนักต่อสู้ ข้าพเข้ายิ่งหดหู่เมื่อมองเห็นชะตากรรมที่พวกเขาได้รับ สิ่งที่ข้าพเจ้าทำได้คือการเติมกำลังใจและคอยปลอบใจพวกเขา ทั้งๆ ที่หัวใจข้าพเจ้าเองก็บอบช้ำ แน่นอนว่าข้าพเจ้ารู้ดีว่านักการเมืองนั้นไม่เคยอยู่ข้างประชาชน พวกเขารอคอยแต่การเลือกตั้ง ผู้คนมากมายยังคงเชื่อมั่นในคุณทักษิณ ข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรพวกเขาจึงเชื่อมั่นในคนที่ชอบผลักคนอื่นไปตายแทน แล้วตัวเองก็ยังใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้ ข้าพเจ้าไม่เคยเชื่อว่าคนคนนั้นจะยอมแลกชีวิตกับประชาชนจริงๆ เขาเพียงแต่เอาประชาชนมาเป็นโล่กำบังกระสุนให้กับตัวเองเท่านั้น น่าสงสารก็แต่ประชาชน จน-เจ็บ-ตาย เจ็บ-จน-ตาย ไม่มีใครให้ความจริงใจ เป็นเพียงแค่เหยื่อในสงครามของชนชั้นนำ ความอยุติธรรมและความกระหายอำนาจ เมื่อไรหนอประชาชนจะเลิกงมงายกับวีรบุรุษเสียที ไม่มีจริง

ข้าพเจ้าอาจจะต้องลองทำความเข้าใจสถานะของตัวเองใหม่ นั่นคือ ตอนนี้ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้เล่น ข้าพเจ้าเป็นเพียงตุ๊กตาที่เขาจับมาใส่กล่องไว้

ราวกับว่าปีกสองข้างของข้าพเจ้าถูกยื้อ ดึง จากคนสองฝั่ง หากฝั่งใดฝั่งหนึ่งชนะ ข้าพเจ้าก็พิการอยู่ดี... เวลาที่ข้าพเจ้าต้องการคำปรึกษา พวกเขามักมาไม่ทันเสมอ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจอย่างไรดี

การชนะอะไรก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่าชนะใจศัตรู แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย เพราะสิ่งยิ่งใหญ่ได้มายากเสมอ ข้าพเจ้ายังคิดไม่ออกว่าข้าพเจ้าจะทำได้อย่างไรกัน ยิ่งข้าพเจ้าจะต้องปกป้องตัวเองไปพร้อมๆ กับปกป้องคนอื่นๆ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเมื่อความต้องการเอาตัวรอดมาปะทะกับความรับผิดชอบ

นี่ไม่ใช่สงครามของเรา การต่อสู้ที่มีแต่เอาประชาชนไปตายเปล่าช่างสร้างความเจ็บปวดมากมายเหลือเกิน ในยุคของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะเห็นผู้คนตายเปล่าอีกแล้ว ข้าพเจ้าจะไม่ยอมให้ผู้คนตกไปเป็นเครื่องมือของพวกเห็นแก่ตัว ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยที่จะเอาชีวิตประชาชนมากมายมาเป็นเครื่องมือเปลี่ยนแปลงประเทศ เพราะในความเป็นจริง ผู้มีอำนาจสามารถประกาศการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ด้วยปากของพวกเขาเอง มิใช่เอาซากศพประชาชนมาเป็นข้ออ้างใดๆ

การกลายเพศของมนุษย์เกิดขึ้นได้เหมือนกับสัตว์อื่นๆ หรือบางทีอาจเกิดขึ้นก่อน ข้าพเจ้าเคยอ่านจากที่ไหนสักแห่งว่ามีปลาบางชนิดจะกลายเพศหากในบ่อมีเพียงเพศเดียว ในสังคมมนุษย์ก็เช่นกัน ข้าพเจ้ายังหาเหตุผลไม่ได้ว่าเพราะความสมดุลตามธรรมชาติ หรือเพราะความมั่นคงในจิตใจกันแน่

มนุษย์ทุกคนต้องการการปฏิบัติที่ดีต่อตัวเอง แต่เมื่อมีโอกาส มนุษย์มักจะปฏิบัติต่อมนุษย์ด้วยกันด้วยความทารุณเสมอ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าเพราะอะไรจึงทำให้มนุษย์กระทำสิ่งตรงกันข้ามกับที่ตัวเองต้องการกับผู้อื่น

เมื่อหมดเวลาการต่อรอง ความตึงเครียดก็ลดน้อยง แน่นอนที่สุด เพราะทุกๆ อย่างจะได้เดินไปตามเส้นทางของมันเสียที

ข้าพเจ้าต้องรู้จักการรอคอย และฝึกฝนความอดทน ขอบคุณที่ทำให้คนที่ไม่เคยรอคอยและความอดทนน้อยเช่นข้าพเจ้าได้ฝึกฝน ข้าพเจ้ารับรู้ถึงความรู้สึกของผู้ที่รอคอย พวกเขาคอยวันแล้ววันเล่า ยอมจำนนครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าจะไม่มีญาติมาเยี่ยม ไม่มีทนาย ไม่รู้กฎหมาย สิ่งเหล่านี้เองทำให้ผู้คนต้องยอมจำนน

ความมหัศจรรย์เกิดขึ้นในชีวิตของข้าพเจ้าตลอดเวลา ข้าพเจ้าได้ไปศาลในตอนบ่าย

สมองของข้าพเจ้าคิดนิทานได้เร็วกว่าคำแถลงของศาลเสียอีก อาจเป็นเพราะข้าพเจ้ามีหัวใจเบิกบาน ข้าพเจ้าจึงใช้เวลาวาดรูปและแต่งนิทาน

ไม่มีคำทำนายใดเป็นนิรันดร์ ข้าพเจ้าเชื่อว่าสุดท้ายแล้วคดีความและชีวิตของข้าพเจ้านั้นขึ้นอยู่กับคำตัดสิน ผู้มีอำนาจเหนือข้าพเจ้าจะใช้เหตุผลใดมาจองจำข้าพเจ้าย่อมได้ แต่สิ่งที่เขามิอาจจองจำได้คือ นกน้อยของข้าพเจ้า มันกำลังบินวนเวียนอยู่เพื่อรอให้หัวใจข้าพเจ้าสะอาดเสียก่อน

มีผู้คนเข้าใจว่าข้าพเจ้าเป็นผู้เขียนบทละครเรื่องนั้น ข้าพเจ้าอยากจะให้พวกเขาเอางานเก่าๆ ของข้าพเจ้ามาเทียบดูเสียจริงๆ หากงานนั้นเป็นของข้าพเจ้าอย่างแท้จริง ข้าพเจ้าคงภูมิใจมากกว่านี้ ข้าพเจ้าไม่อาจหาประโยชน์จากสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ภูมิใจ ข้าพเจ้าต้องปกป้องคนที่ข้าพเจ้าต้องปกป้อง นกน้อยหัวเราะเยาะไปกับข้าพเจ้า

หากเรามองว่าปัญหาทุกอย่างในชีวิตล้วนเป็นเรื่องมหัศจรรย์แล้ว เราจะไม่ทุกข์ร้อนมากมายนัก ข้าพเจ้าเพิ่มเข้าใจว่าความมหัศจรรย์เกิดกับเราตลอดเวลา

มนุษย์ที่เป็นแม่คงเจ็บปวดที่สุดเพราะคิดถึงลูก แม่หลายคนที่ข้าพเจ้าพบเจอมีลูกน้อยต้องดูแล แม่ของข้าพเจ้าก็เช่นกัน แม่คงคิดถึงข้าพเจ้ามากมาย ข้าพเจ้ากับแม่ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน ข้าพเจ้าจึงไม่คิดถึงแม่มากนัก นี่เป็นการดีสำหรับหัวใจของข้าพเจ้า ความคิดถึงทำร้ายเราได้มากพอๆ กับความโกรธ-ความแค้น และความหวาดระแวง

ผู้คนที่นี่ขาดแคลนรอยยิ้ม ไม่ใช่รอยยิ้มบนใบหน้า แต่เป็นรอยยิ้มให้กับตัวเอง หากข้าพเจ้าจะเขียนหนังสือกสักเล่ม ข้าพเจ้าคงเขียนถึงมุมมองที่จะสร้างประโยชน์ในการใช้เวลาให้คุ้มค่า มากกว่าการเตือนใครๆ ก็ตามว่าไม่ควรทำตัวไม่ดี เพื่อพวกเขาจะได้ไม่ถูกจองจำ เพราะข้าพเจ้าเชื่อว่าในสังคมที่ไม่มีความเท่าเทียมนี้ ทุกคนมีสิทธิที่จะเดินเข้าไปสู่การถูกจองจำด้วยกันทั้งนั้น

หลายคนไม่อยากให้ข้าพเจ้ากลับมาอีกหลังจากการออกไปศาลหลายๆ ครั้งของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าก็กลับมา ความจริงข้าพเจ้าเองก็ยังรู้สึกสนุกกับการอยู่ในที่ที่มีความหลากหลายมากมายเช่นที่นี่ มีเรื่องราวมากมายให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ เพื่อเป็นวัตถุดิบและต้นทุนในชีวิต ข้าพเจ้าไม่ใช่เพียงเรียนรู้จากหนังสืออีกแล้ว แต่ข้าพเจ้าสัมผัสมันจริงๆ

วันที่ 9 กันยายน พวกเขามาหาข้าพเจ้าอีก...ข้าพเจ้าไม่ร้องไห้อีกแล้ว....

ยิ่งถูกจำกัดมากเท่าใดความคิดสร้างสรรค์และสัญชาตญาณยิ่งถูกขับออกมามากเท่านั้น

หากเราใช้ศาสนาเพื่อกล่อมเกลาผู้คนอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพผู้คนจะไม่หันกลับไปทำสิ่งที่ผิดอีก และหากมีการบริหารจัดการทรัพยากรที่เพียงพอ ผู้คนได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีใครขาด ไม่มีใครเกิน ไม่มีใครถูกกดขี่ข่มเหง ก็จะไม่มีใครต้องลักขโมย ต้องค้ายาเสพติด แต่หากจะมีก็สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเป็นเพราะความโลภและความอยากได้อยากมีที่อยู่ในใจของพวกเขาเอง เราจึงสามารถต่อว่าเขาเป็นนใจหยาบได้อย่างเต็มที่ แต่หากว่าระบบการจัดการทรัพยากรไม่สมบูรณ์ เราจะกล่าวโทษผู้คนว่าเป็นผู้โฉดชั่วและกระทำความผิดบาปทั้งหมดนั้นได้อย่างไรกัน

บัดนี้ในสายตาของคนบางคน ข้าพเจ้าคงกลายเป็นผู้โฉดชั่วให้ร้ายแก่ผู้อื่น และเห็นแก่ตัวเป็นที่สุด ข้าพเจ้าจะคงความศรัทธาในตัวข้าพเจ้าเองได้อย่างไร พวกเขาจะมองข้าพเจ้าด้วยสายตาร้ายกาจเพียงใด และตัวข้าพเจ้าเองจะอดทนต่อสายตาเช่นนั้นได้หรือไม่ แต่ถึงอย่างไรหากพวกเขามองข้าพเจ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าความจริงคืออะไร เมื่อย้อนมองถึงความงามของมัน ข้าพเจ้าก็ปล่อยให้มันติดอยู่ที่นี่พร้อมกับข้าพเจ้า

นกน้อยยังคงลังเลที่จะบินเข้ามาอยู่ในหัวใจของข้าพเจ้า เพระมันอาจจะยังไม่สะอาดและแข็งแรงเพียงพอ หัวใจของข้าพเจ้าขุ่นมัวเกินไป

ความเชื่อเยียวยาหัวใจมนุษย์ได้ดีกว่าหลักการและเหตุผล มิใช่เพียงความเชื่อทางศาสนาเท่านั้น แต่รวมถึงความเชื่อมั่นต่อตนเองด้วย มนุษย์ล้วนต้องการการรับรองความเชื่อในจิตใจเสมอ เพราะมนุษย์นั้นเปราะบาง จึงต้องมีศาสนาไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวและสนับสนุนความเชื่อมั่นของตนเอง

ราวกับว่าพวกเขาประณามข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้าเอ่ยชื่อน้องน้อย พวกเขาคิดว่าข้าพเจ้าควรทำอะไรได้มากกว่านี้หรือ คิดว่า ณ เวลานั้นข้าพเจ้ามีพลังมากพอจะปกป้องใครๆ อย่างนั้นหรือ เอาเข้าจริง ข้าพเจ้าสามารถทำลายผู้คนได้มากกว่านี้ เวลาที่ข้าพเจ้าถูกทำร้าย ไม่ว่าจะเป็นการลงมือทำร้ายข้าพเจ้าหรือแม้แต่การนิ่งเฉยต่อการขอความช่วยเหลือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะฆ่าเขาทิ้งเสียจากหัวใจของข้าพเจ้า พวกเขาไม่สมควรจะได้รับการปกป้องจากข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามิอาจกางแขนปกป้องคนที่เฉยเมยต่อความเจ็บปวดของข้าพเจ้าได้ พวกเขาก็ไม่ต่างไปจากศัตรูของข้าพเจ้าเลย หากใครมองว่าข้าพเจ้านั้นเห็นแก่ตัวก็ขอให้ข้าพเจ้าเป็นกระจกส่งสะท้อนไปถึงพวกเขาเถิดว่าตัวพวกเขาเองก็เห็นแก่ตัวไปไม่น้อยกว่าข้าพเจ้า

เมื่อคุณยอมเป็นทาสเสียครั้งหนึ่งแล้ว คุณก็จปฏิเสธการเป็นทาสต่อไปไม่ได้อีก การจะทำให้ความเป็นทาสสิ้นสุดลงคงมีอยู่ไม่กี่ทาง คือนายทาสเอ่ยปากให้เป็นไท หรือหมดลมหายใจไปเสีย การฆ่าตัวตายอาจฟังดูไร้ศักดิ์ศรี แต่การตายเพื่อรักษาศักดิ์ศรีที่มีอยู่น้อยนิดก็พึงทำได้ ไม่ใช่เพื่อตัวข้าพเจ้าเอง เพื่อหัวใจของข้าพเจ้า

“ออกไปแล้วจะยังคงเล่นละครอยู่อีกไหม” เป็นคำถามที่คอยตอกย้ำคำตอบในหัวใจของข้าพเจ้าเสมอ บางครั้งข้าพเจ้าก็กลัวการแสดงจับใจ แต่บางครั้งข้าพเจ้าก็ปรารถนาและกระหายที่จะแสดง เมื่อออกไปแล้วข้าพเจ้าจะไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป หลายคนบอกกับข้าพเจ้าอย่างนั้น แต่นี่แค่ระยะแรกเท่านั้น วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าไม่สามารถรู้ได้ ดังนั้นการพึ่งพาตัวเองอย่างที่เป็นมาเสมอจึงจะดีที่สุด แม้หากจะต้องเริ่มนับศูนย์ใหม่ ข้าพเจ้าก็ต้องทำ

ข้าพเจ้าได้พูดคุยกับคนรักถึงความกังวลใจของข้าพเจ้า ถึงอนาคตของเรา ข้าพเจ้ามักพูดจากระทบความรู้สึกของเขา เราต่างไม่สบายใจ บางครั้งข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าการถมเอาความรู้สึกแย่ๆ ทั้งหมดลงไปที่เขานั้นทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น แต่นั่นคือการทำร้ายกัน ไม่มีใครรักข้าพเจ้าเท่ากับเขา แต่พอข้าพเจ้าคิดถึงความผิดพลาดในชีวิต ข้าพเจ้าก็จะมองเห็นเขาในเหตุการณ์เหล่านั้นเสมอ คงเป็นเพราะเขาอยู่ข้างกายข้าพเจ้าในทุกๆ ช่วงเวลาของชีวิต ข้าพเจ้าจึงมองเห็นแต่เขา เขาบอกให้ข้าพเจ้าปล่อยความผิดนั้นไปเสีย แต่ข้าพเจ้าทำไม่ได้ เขาและข้าพเจ้าเจ็บปวดมากมายพอๆ กัน บาดแผลเกิดขึ้นกับเรามากมายพอๆ กัน ข้าพเจ้าไม่ควรเอามีดไปกรีดหัวใจเขาซ้ำอีก

ข้าพเจ้าเพิ่งเข้าใจถึงแผนการของพระเจ้าที่มีต่อข้าพเจ้า เพราะพระองค์มีแผนการที่ดีกว่าสำหรับเราเสมอ ข้าพเจ้าแค่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่สุดเท่านั้น

เมื่อข้าพเจ้ามีรอยยิ้ม เพื่อนข้างนอกก็ยิ้มได้ ความจริงแล้วข้าพเจ้ายิ้มเสมอแต่เวลาเจอพวกเขา เรามักจะร้องไห้ ครั้งต่อไปเราจะร้องเพลงด้วยกัน

สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์มิใช่บทสวดใดๆ หากแต่เป็นหลักแห่งการดำเนินชีวิตต่างหาก การแบ่งปันและการให้เป็นสิ่งที่ดีแต่ต้องสำหรับคนที่รู้จักพอเท่านั้น

กำลังใจจากภายนอกหลั่งไหลเข้ามาสัมผัสหัวใจของข้าพเจ้า บางทีการประกาศยอมรับความผิดนั้นอาจเป็นการยืนยันในการมีอยู่ของบางสิ่งบางอย่างก็เป็นได้

ข้าพเจ้าสงสารพี่ชมพูนุช พนักงานสอบสวนในคดีของข้าพเจ้าเหลือเกิน การทำหน้าที่ท่ามกลางความกดดันนั้นไม่เป็นที่ปรารถนาของใครทั้งนั้น ไม่มีใครอยากเป็นศัตรูกัน แต่เราต่างมีหน้าที่ที่จะต้องทำ

ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่าผู้คนที่ทุกข์จะกดทับตัวเองด้วยความทุกข์ไปเพื่ออะไร ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก นอกจากจะทุกข์เพิ่มขึ้นเท่านั้น และเมื่อมนุษย์ไม่มีความสุขในการอยู่ที่ใด มนุษย์ก็จะไม่มีความอยากพัฒนามันให้ดีขึ้น

เมื่อเราอยู่ในหลุมลึกมืดดำทำให้เรามองเห็นความสว่างของแร่ธาตุหลากหลายมากยิ่งขึ้น ความหลากหลายงดงามเสมอ หากคุณเชื่อมั่นในความหลากหลายของมนุษย์คุณย่อมอยู่ในทุกที่ด้วยความชื่นชมยินดี

เรารู้สึกว่าตัวเองมีเสรีภาพมากมายเมื่อเราไม่รู้ว่าคนลุ่มอื่นมีมากกว่าเราเพียงใด ประชาชนในเกาหลีเหนือก็เช่นกัน บางครั้งข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าเสรีภาพที่ข้าพเจ้าได้รับเพียงพออยู่แล้ว จนกระทั่งที่คนข้างนอกเคาะกระจกปลุกข้าพเจ้า

ภายใต้กระบวนการยุติธรรมแบบนี้ ข้าพเจ้าไม่มีทางชนะ เปล่าประโยชน์ที่จะทำให้ทุกอย่างยืดเยื้อและเปลืองเวลา เพียงแต่ข้าพเจ้าต้องต่อรองทุกๆ อย่างให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ข้าพเจ้าไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไป ไม่ว่าอย่างไรทุกๆ อย่างก็คงมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีโอกาสที่รัฐบาลที่ผู้คนเลือกสรร หรือต่อให้เพื่อไทยชนะ มันก็ไม่มีความหวังอะไรสำหรับเรา ข้าพเจ้าไม่อาจหวังให้ฟ้าสีทองผ่องอำไพ ไม่อาจคาดหวังให้ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ข้าพเจ้าทำได้เพียงรอคอยและรอคอยให้เวลาทุกข์นั้นผ่านไป ไม่ใช่ความทุกข์ของข้าพเจ้า แต่เป็นความทุกข์ของขบวนแห่งนี้ต่างหาก ข้าพเจ้าเดินถอยหลังออกจากขบวนนี้ได้ .. เมื่อข้าพเจ้าเป็นอิสระและเหนื่อยเกินไป แต่น่าแปลกที่ข้าพเจ้าไม่เหนื่อยเลยแม้จะต้องอยู่ที่นี่ เหมือนทุกอย่างกระโดดโลดเต้นอยู่ในหัวของข้าพเจ้า แต่ไม่รู้ว่ามันจะหมดแรงลงไปเมื่อใดเหมือนกัน

เราจะมีบทเพลงในยุคของเรา บทเพลงแห่งช่วงเวลาของเรา เราะจะมีวรรณกรรมในยุคของเรา เราจะมีบทกวีในยุคของเรา ข้าพเจ้าช่างชื่นบาน หากยุคต่อไปจะมีเรื่องราวของพวกเรา เราหมกมุ่นและพร่ำร้องบทพลงของคนยุคเก่ามานานเกินไป เราฝังใจอยู่กับวิถีของพวกเขามานานเกินไป

บ่อยครั้งที่ข้าพเจ้าคำนึงถึงอนาคตของตัวเองว่าวันหนึ่งข้าพเจ้าจะได้ไปต่างประเทศตามที่ข้าพเจ้าอยากไปหรือไม่ ข้าพเจ้าจะต้องใช้เวลาทุกนาทีที่อยู่ที่นี่สร้างต้นทุนให้กับชีวิตมากที่สุด และอาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากผู้คนข้างนอกด้วย

โดยความเป็นจริงแล้วข้าพเจ้าไม่เคยเห็นคนธรรมดาที่ต้องถูกจองจำในคดีเช่นเดียวกับข้าพเจ้าออกไปแล้วมีอนาคตที่ดีเลย พวกเขายังต้องหลบซ่อน ไม่มีงานทำ รับเงินบริจาคที่มีคนหักหัวคิว ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ข้าพเจ้าจะเป็นเช่นนั้นไหม ข้าพเจ้าไม่อยากอับจนเช่นนั้นเลย ดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องเตรียมความพร้อมสำหรับชีวิตของตัวเองให้มากๆ

บางครั้งศัตรูของเรามาพบเจอเรามากกว่ามิตร การทำให้คนชังนั้นไม่ยาก แต่การทำให้เรารักตลอดไปนั้นยากกว่า ชายคนหนึ่งเลิกรักข้าพเจ้า แต่มิใช่ทุกคนจะเลิกรักข้าพเจ้า

เนื่องจากละครเรื่องนั้นไม่ได้งดงามเพียงพอ ข้าพเจ้าจึงไม่กล้าเรียกมันว่างานศิลปะ และต่อสู้ด้วยการกล่าวอ้างความเป็นศิลปะได้ และหากใครจะคิดว่างานชิ้นนั้นได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ไม่ยินดีที่จะรับมันไว้ เพราะข้าพเจ้ารู้ดีว่าข้าพเจ้ามิควรแอบอ้างเอาสิ่งที่ตัวเองไม่ควรได้รับมาเป็นของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ข้าพเจ้ายังคงลังเลว่าจะยืดตัวแถลงข่าวว่านั่นคืองานศิลปะได้อย่างไรกัน

ข้าพเจ้าใฝ่ฝันเสมอว่าจะมีโรงเรียนสำหรับเด็กๆ ที่ขาดโอกาส แต่ข้าพเจ้าก็ไม่รู้หรอกว่าข้าพเจ้าจะไปเอาเงินมาจากไหน ข้าพเจ้าคิดได้เพียงว่าข้าพเจ้าจะทำงานหาเงินสะสมมาให้ได้เยอะๆ เพื่อวันนึงจะสร้างโรงเรียนได้ แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าก็ทำงานไม่ได้แล้ว

โรงเรียนของข้าพเจ้าจะไม่มีตึก ไม่มีห้องเรียน ไม่มีโต๊ะเขียนหนังสือเรียงกันเป็นแถว ไม่มีกระดานดำ แต่จะมีต้นไม้ มีบ้านดิน บ้านไม้หลังเล็กๆ ให้เด็กๆ ช่วยกันดูแล เด็กๆ จะได้เรียนศิลปะเป็นวิชาแรก แต่ศิลปะจะถูกสอนไปพร้อมๆ กันกับทุกวิชา วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษา การปกครอง ศิลปะจะเป็นตัวเชื่อมทุกๆ ศาสตร์เข้าหากัน พวกเราถูกแยกให้เรียนแต่ละอย่างมากเกินไป จนไม่สามารถบูรณาการทุกๆ อย่างได้เลย เด็กๆ จะได้เรียนและรู้จักศาสนาทุกๆ ศาสนา ก่อนที่พวกเขาจะเลือกว่าจะนับถือศาสนาอะไร หรือไม่นับถืออะไรเลยก็ตาม เด็กๆ จะได้เรียนรู้และสรุปบทเรียนที่ได้ในแต่ละวันด้วยตัวของพวกเขาเอง เพื่อจะให้พวกเขาคุ้นเคยกับการตั้งคำถามและสังเกต เด็กๆ จะไม่ต้องท่องจำอะไรทั้งนั้น ทุกคนจะได้พัฒนาความถนัดของตัวเองอย่างเต็มที่

ข้าพเจ้าฝันเฟื่องมากเกินไป แต่ถ้าข้าพเจ้าเนรมิตรอะไรได้ นี่ก็จะเป็นสิ่งแรกที่ข้าพเจ้าจะทำต่อไป ถ้าข้าพเจ้าจะได้ออกไป ข้าพเจ้าจะต้องเริ่มต้นทำความฝันของข้าพเจ้าให้สำเร็จ ตอนนี้ข้าพเจ้าคงได้แต่ฝากความฝันเอาไว้กับมิตรสหาย เพราะเมื่อถึงวันที่ข้าพเข้าออกไปสู่โลกจริงแล้ว ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะยังจำมันได้อยู่หรือไม่ และหัวใจของข้าพเจ้าจะยังเข้มแข็งอยู่อีกไหม เพราะข้าพเจ้าไม่ได้ฝันว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นในช่วงอายุของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงต้องเตรียมทุกๆ อย่างให้พร้อมสำหรับคนรุ่นต่อไป

ข.ญ.ภรณ์ทิพย์