วันอังคาร, ตุลาคม 27, 2558

เห็นทีจะต้องอัปเดทกันรายวันแล้วละ คดี ๑๑๒ ช่วงเปลี่ยนผ่านนี่น่ะ





เห็นทีจะต้องอัปเดทกันรายวันแล้วละ คดี ๑๑๒ ช่วงเปลี่ยนผ่านนี่น่ะ

คืบหน้าล่าสุดเท่าที่จับความได้ เผยแล้ว ‘ความผิด’ ผู้ต้องขังที่ฆ่าตัวตาย

หลังจากที่บอกปัด ขอผลัดอีกสองสามวันก่อนจะเปิดแถลงข่าว “ตอบให้จุใจเลย”

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวกับนักข่าวที่เซ้าซี้ถามว่า

“ที่มีกระแสข่าวว่า พ.ต.ต.ปรากรม (วารุณประภา -นายตำรวจผู้ต้องหาที่ผูกคอตาย) ขอขึ้นตำแหน่งเป็นรองผู้กำกับ กองบังคับการปราบปราม จริงหรือไม่นั้น

ผบ.ตร. กล่าวว่า ตนเห็นจากที่ พล.ต.ท.ฐิติราช ให้ข้อมูลว่าเช่นนั้น ซึ่งการขอตำแหน่งดังกล่าวยังไม่ถึง ก.ตร. เนื่องจากยังไม่ถึงวาระเลย”

(http://manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx…)

อันนี้ the audacity of the crime เหมือนกับคดี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. เมื่อปีที่แล้วเดี๊ยะ

โดยเฉพาะการ ‘บุกอายัติทรัพย์’ ของหมอหยองโดยตำรวจ แล้วพบ “ของกลางหรูๆ เพียบ” รวมทั้งรถที่ทำให้ตะลึง ตามข่าวของ ‘สยามอัปเดท’

อันได้แก่ รถโฟล์คสวาเก็นรุ่นคาราเวลที่ยังมีป้าย ‘ไบค์ ฟอร์ มัม’ วางอยู่หน้าคอนโซล กับรถเบ๊นซ์สามคัน รถโตโยต้าอีกสองคัน นอกนั้นจักรยานยนต์บิ๊กไบ๊ค์หนึ่งคัน และรถมอเตอร์ไซค์ที่ใช้สำหรับนำขบวนอีกสามคัน

(http://www.siamupdate.com/news-177954)

พร้อมทั้ง “จ่อจับ ๒๐ ราย ระดับบิ๊ก ‘นายพล’ ดัง”




ส่วนที่เกี่ยวกับตัวเอกในคดี คือ ‘หมอหยอง’ ซึ่งยังไม่ตายแน่ๆ ดังที่ รมว.ยุติธรรม ‘บิ๊กต๊อก’ บอกน้องๆ นักข่าว ว่าเมื่อเช้ายังขอโจ๊กกินได้ ที่ว่าอาการความดันกำเริบก็ไม่เห็นเป็นอะไร

(http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1445840633)

มิหนำซ้ำอธิบดีราชทัณฑ์ลงลึกให้รายละเอียด “ผลการตรวจของแพทย์ปรากฏว่า ไม่พบความผิดปกติ กะโหลกศีรษะไม่แตก แต่น่าจะเป็นการแกล้งทำ ซึ่ง...”

นสพ.เดลินิวส์เอาไปพาดหัวข่าวเสียเก๋ว่า “หมอหยองดราม่าแกล้งป่วย”

สำหรับอัปเดทเด่นสุดไม่น่าจะเป็นไหนอื่นนอกเสียจากสำนักข่าว ‘เจียมนิวส์’




“เรื่องศพ ‘สารวัตรเอี๊ยด’ ถูกเผาเรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้ยืนยันได้แน่นอน เพราะนอกจากมีการเสนอข่าวกันไปแล้ว บังเอิญมีคนที่ผมรู้จักคนนึง ญาติเขาเสียและตั้งศพอยู่ที่วัดนั้น เลยได้เห็น เขาเพิ่งส่งข่าวบอกผมมา - เขาว่าศพสารวัตรเอี๊ยดไม่มีพิธีอะไร เผาเลย”

สศจ. อ้างอิงข่าวที่ลงใน sanook http://news.sanook.com/1889090/

“มีบรรดาผู้มาร่วมงานศพประมาณ ๒๐ คน และพบกลุ่มชายฉกรรจ์สวมเสื้อผ้าชุดซาฟารีสีดำ ประมาณ ๑๐ คนยืนสังเกตการณ์อยู่ภายในวัด โดยมีการขอความร่วมมือกับผู้สื่อข่าวไม่ให้บันทึกภาพใดๆ ทั้งสิ้น”

อ้อ แล้วประเด็นที่ถามกันเยอะเมื่อสองสามวันก่อน ว่าห้องขังผนังโบกปูนสี่ด้าน ประตูปิดมิดชิดมองจากข้างนอกไม่เห็นอะไรภายใน นั่นมีลูกกรงให้ผู้ต้องหาผูกคอตายได้เหรอ

ทั่นอธิบดีราชทัณฑ์ตอบแล้ว ช้าไปนิดก็ยังดี “ยืนยันว่าเรือนจำชั่วคราวแขวงถนนนครไชยศรี ภายใน มทบ. ๑๑ มีสภาพดี เป็นการดัดแปลงอาคารของกองร้อยทหารให้เหมาะกับการคุมขัง

โดยมีการติดตั้งลูกกรงเพิ่มเติมเข้าไป แต่พื้นที่โดยรอบส่วนใหญ่เป็นกำแพงทึบจึงยากจะมองเห็น”

(http://www.dailynews.co.th/crime/356816)

In the means time…การจับกุมชาวบ้านธรรมดาที่ไม่ได้ high profile ก็ยังไม่หยุดยั้ง ครั้งล่าสุดตามที่ ‘ประชาไท’ เก็บตกมาให้รับทราบกัน




“อดีตครูวัย ๗๗ ปี ขึ้นศาลทหาร ถูกตั้งสองข้อหาหนัก หลังมอบดอกไม้พ่อเฌอ” (http://prachatai.org/journal/2015/10/62115)

นายปรีชา แก้วบ้านแพ้ว ถูกฟ้องข้อหาความผิดตามมาตรา ๑๑๖ (๓) ของประมวลกฏหมายอาญา เรื่องการกระทำอันขัดต่อรัฐธรรมนูญ และฝ่าฝืนประกาศ คสช. ฉบับที่ ๗/๒๕๕๗ ข้อหาชุมนุมเกิน ๕ คน

ทั้งหมดนี้จากการที่นายปรีชาไปตามดูนายพันศักดิ์ ศรีเทพ พ่อ ‘น้องเฌอ’ (อาสาสมัครที่ถูกยิงตายในวัดปทุมวนารามเมื่อปี ๕๓) ทำกิจกรรม ‘พลเมืองรุกเดิน’ ต้านรัฐประหารและเรียกร้องไม่ให้นำพลเรือนขึ้นศาลทหาร แล้วได้มอบดอกไม้ให้นายพันศักดิ์แสดงการชื่นชม




นายปรีชาท่านนี้ถูกจับโดยเจ้าหน้าที่ ตม. ที่เชียงแสนขณะจะเดินทางข้ามไปลาว โดยไม่รู้ตัวว่าตนเองถูกออกหมายจับอยู่ มิหนำซ้ำก่อนเข้าด่านนายปรีชายังได้ถ่ายภาพใส่เสื้อแดง ‘รักยิ่งลักษณ์’ ชูสามนิ้วสนับสนุนกิจกรรมวันที่ ๑ พ.ย. ด้วย

นี่ถ้านำวลีอุทานจากโซเชียลมีเดียสุดฮิต ‘LINE’ ที่คนไทยเล่นกันทั้งวันทั้งคืน ต่อเหตุการณ์ไม่คาดหมายในซอยนานาใต้เมื่อวาน เมื่อหญิงสาวผิวขาว Caucasian ผมบลอนด์ ออกมาเดินตัวเปล่าล่อนจ้อนข้างถนน

ว่า “เมืองไทยกำลังไปกันใหญ่แล้ว” ถึงจะคนละเรื่องแต่ก็คงได้อารมณ์เดียวกัน