วันอังคาร, สิงหาคม 29, 2560

กวี 'คนผวน' หู เหอ หนี ‘สรรพลี้หวน’ จะเอาแต่ถีบกัดชนะต่อกันเหมือนดิรัจฉานละหรือ

เพราะความสะใจของพวกแพ้ภูมิชินวัตรแท้ๆ ที่ได้ทีเมื่ออดีตนายกรัฐมนตรีหญิง หนีโดยอ้างเหตุป่วยจาก น้ำในหูการเมืองเรื่องหนักจึงนำไปสู่การบ้านหนักกว่า

จากโคลงจาบจ้วง คดีหูยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดย ไพฑูรย์ ธัญญา ซ้ำด้วย หูหนี ของ รูญ ระโนด ไปสู่ เหอของทีฝีมือพระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณ ทำให้ฉุกคิดถึงสังคมไทยในแวดวง คนดี ไฉนใส่ใจบทกลอนคำผวนของลับหญิงกันมากเพียงนี้

ถ้าเป็นระดับ กนกรัตน์วงศ์สกุล หรือ ติ่งมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ก็ว่าไปอย่าง นี่ทั้งรองศาสตราจารย์ นักวิชาการผู้ชำนาญภาคใต้ และพระสงฆ์องคเจ้า (ที่เคยปีนเกลียวกับตระกูลชินวัตร)

สำหรับไพฑูรย์นั้น ทราบกันดีแล้วว่าได้เป็นศิลปินแห่งชาติในสาขาวรรณศิลป์เมื่อปี ๒๕๕๙ ส่วนรูญ เพิ่งมาถูกเปิดย้ำความจำกันโดยเพื่อนนักวิชาการผู้ร่วม ต้องหาในคดี มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร ที่ เชียงใหม่

ปลายปี ๕๘ นักวิชาการ ๘ คนถูกทหารแจ้งข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. หนึ่งในนั้นคือจรูญ หยูทอง เอ็นจีโอภาคใต้เจ้าของนามปากกา รูญ ระโนดที่ อจ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนเล่าว่า

สมัครใจเข้ารับการปรับทัศนคติจากฝ่ายทหารอันเป็นเงื่อนไขให้มีการยุติคดี” พร้อมกับคนอื่นๆ อีก ๕ คน ทำให้มีเพียง อจ.สมชายและ อจ.อรรถจักร สัตยารักษ์ เพียงสองคนที่ถูกดำเนินคดี


ชนิดที่ Thanapol Eawsakul ให้ข้อสรุปว่า “เก่งแต่กับหมา ซ่าแต่กับเด็ก สตรี และคนชรา แต่พอเจอทหารแล้ว เยี่ยวเล็ด’ (สำนวนคนใต้)

ด้าน Atukkit Sawangsuk สวดยับ “ตอนแรกๆ ละก็ปากเก่งจัง ด่ากราดเผด็จการละเมิดสิทธิเสรีภาพ
โห ตอนนั้นผมยังเผลอปรบมือเชียร์ เหลืองแดงรวมกันได้ ปกป้องเสรีภาพวิชาการ ฯลฯ

ที่ไหนได้ ลงท้ายย่องไปยอมรับการปรับทัศนคติ...ไม่ยักแน่จริง เก่งแต่ใช้ปากละเมิดผู้หญิง”

ส่วนพระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณ นั่นเมื่อเมษายน ๕๘ เป็นที่ชมชื่นของ วีระ สมความคิด ว่ายืนหยัดยึดฐานที่มั่น สวนเมตตาธรรม อ.ฝาง เชียงใหม่ ท่ามกลางการคุกคาม “จะไล่ล่าฆ่าพระอีกรูปหนึ่ง...พวกคนบาปเหล่านี้ ซึ่งเคยเป็นลูกสมุนของระบอบทักษิณ”


ก่อนหน้านี้เมื่อ ก.พ. ๕๕ หลวงพี่กิตติศักดิ์เคยเป็นโจทก์ฟ้องหมิ่นประมาทนายพันศักดิ์ ศรีเทพ พ่อน้องเฌอ เหยื่อสลายชุมนุมด้วยอาวุธจริงของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในปี ๒๕๕๓ อันเนื่องมาจาก “พระมาด่าว่าคนเสื้อแดงที่เกี่ยวพันกับลูกเรา”

และ “เมื่อฆราวาสไม่สามารถตั้งอยู่ในอุเบกขาธรรม เพราะต้องการกู้คืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุตรเฌอผู้ล่วงลับ เหตุการณ์นี้จึงเกิดขึ้น” นั่นคือพันศักดิ์เดินเท้า “จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ไปยังสถานีตำรวจภูธรฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ระยะทาง ๑๖๖ กิโลเมตร เพื่อรับหมายเรียกตัวผู้ต้องหา”

นั่นคือเบื้องหลังบางส่วนอันเกี่ยวกับพระกิตติศักดิ์ นักกลอนเจ้าของสำนวน “หายของนี นี้อยากใช้ ให้เข้าคิว”

มิใยที่ระดับอดีตนายกรัฐมนตรี (ทหารช่วยตั้ง) อย่างอภิสิทธิ์ เอาประเด็น น้ำในหู ไปพูดในปาฐกถาอบรมครูให้ได้ฮา ครื้นเครงกันทั้งห้องประชุม หรือแม้กระทั่งผู้สูงส่งในสายเลือด ยูกะลา (Yugala) คนนั้น ยังไม่วายแซะลงล่างว่า “อย่าเอาของหลวง (ผู้กองหนุ่ย) หนีบไปด้วยครับ”

แน่ละจนขณะนี้ มีกลอนเตือนสติออกมาตอบโต้อยู่หลายราย รวมทั้งข้อความวิพากษ์อุบาทว์การณ์คำผวน จากนักวิชาการหญิงสองคน Pinkaew Laungaramsri และ Nithinand Yorsaengrat

“เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณลงไปเล่นกับอวัยวะเพศของเธอ มันไม่ใช่การวิพากษ์ทางการเมืองอีกต่อไป หากแต่คือการกระทำความรุนแรงทางเพศต่อผู้หญิงผ่านภาษา ที่ถูกกลบเกลื่อนทำให้เป็นเรื่องขำขันผ่านการเล่นคำผวนที่หยาบโลน” (ปิ่นแก้ว)

“ดิฉันอ่านคำด่าของเขาหลายๆ คนแล้วก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเกี่ยวกันยังไง ความคิดว่าคนควรเท่ากัน ความคิดว่าควรขจัดความเดียดฉันท์และวิธีปฏิบัติที่อยู่บนพื้นฐานความเชื่อเกี่ยวกับความต่ำต้อยหรือสูงส่งของอีกเพศหนึ่ง” (นิธินันท์)


แต่ที่หนักหนาเป็นการรณรงค์เข้าชื่อเรียกร้องทาง Change.org (แล้วอย่างน้อย ๔,๗๐๐ คน) ให้ถอดถอนนายธัญญา สังขพันธานนท์ เจ้าของนามปากกา ไพฑูรย์ ธัญญาออกจากการเป็นศิลปินแห่งชาติ อันเป็นตำแหน่งซึ่งมีค่าตอบแทน ๒ หมื่น ๕ พันบาทต่อเดือน

แม้นว่ากระทรวงวัฒนธรรมจะได้ออกมาชี้แจงปฏิเสธแล้วว่า “กรณีการโพสต์ส่วนตัวนี้อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของ สวธ. ท่านจะทำหรือไม่ทำสิ่งใดเป็นวิจารณญาณส่วนบุคคล” ก็ตาม


ยังมีการรณรงค์ที่แยกต่างหาก โดยกลุ่มกวี นักเขียน และนักวิชาการกว่า ๑๒๖ คน ร่วมกันออกแถลงการณ์คัดค้านนายธัญญาเป็นตัวแทนกวีไทยในงาน ASEAN Poets Forum@Diversity 2017 ระหว่างวันที่ ๒๙-๓๐ กันยายน ที่มาเลเซีย เนื่องจากบทกลอนที่นายธัญญาเขียนกระทบอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงด้วยคำผวนหยาบโลน ถึงอวัยวะเพศหญิงในทางหยามเหยียด

ทว่าบทกลอนคำผวน หู เหอ หนี เหล่านั้น บรรดาผู้ใช้ต่างอ้างว่ามันเป็นวัฒนธรรมพื้นบ้านของไทยที่เรียกว่า สรรพลี้หวน ซึ่ง อิสระ ชูศรี อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความเห็นว่า

คำผวนสองแง่สองง่ามโดยตัวของมันเองก็เป็นเพียงการละเล่นทางภาษา (language play) ประเภทหนึ่ง...คำประพันธ์ประเภทนี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้หมายถึงใครคนใดคนหนึ่งโดยเจาะจง เพื่อเป็นการเหยียดหยามให้ได้อาย หรือถูกล้อเลียนเสีย ๆ หาย ๆ”

มันไม่ได้ผิดที่ คำผวน มันผิดที่ คนผวน’ “ไพฑูรย์ ธัญญา เป็นศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณกรรม ได้รับการยกย่องว่ามีความสามารถสูงด้านการประพันธ์ แต่เอาความสามารถของตนเองมาใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม เอาความเก่งมาแสดงการดูหมิ่นเหยียดหยามคนอื่น ทำตัวไม่เหมาะสมกับสถานะที่ได้รับการยกย่อง


กรณีเดียวกันนี้ ณรรธราวุธ เมืองสุข ก็เขียนไว้ยาวเหยียดละเอียดยิบว่า สรรพลี้หวน เป็น วรรณกรรมข้างแคร่’ “เป็นเรื่องที่คุยกับเอาตลกโปกฮาในวงสนทนา (บนแคร่)...โดยเฉพาะกับ คนที่ไม่รู้จักสนิทสนม ถือว่าเป็นเรื่องหยาบคายไม่ต่างจากด่าตรงๆ

ณรรธราวุธยังวิจารณ์ถึงกลอนผวนที่ไพฑูรย์และพวกเขียนหมิ่นยิ่งลักษณ์ ว่า “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พยายาม...สำแดงอำนาจของการใช้ภาษา...โจมตีสิ่งที่อยู่ใต้กระโปรงของเธอ เพื่อลดทอนคุณค่าความเป็นนักการเมืองเพศหญิง”

เขาอ้างถึง คำปราศรัยของนายแพทย์ ม.หาดใหญ่ บนเวที กปปส. ที่บอกว่าจะทำ รีแพร์ ให้ยิ่งลักษณ์ กับคำพูดนักวิชาการหนุ่มฉายา จักร ๕ ใบซึ่งคิดว่าตนเองหน้าตาดีที่ยินยอมจะสละตนไป ล่อเพื่อชาติ ให้แก่เธอ เป็นต้น

(อ้างเช่นกันในข้อเขียนของ อจ.สมชาย ที่ https://prachatai.com/journal/2017/08/72999)

ช่วงสามปีที่ผ่านมาเรามักจะได้เห็น ได้ยินกันบ่อยๆ ต่อประโยคว่า “เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร” ตอนนี้น่าจะพอสรุปได้บ้าง ไม่น้อยไม่มาก ว่าเพราะเราไม่มีสัญชาติญานของการยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน โดยปราศจากเครื่องประดับ ทรัพย์ศฤงคาร ชาติกำเนิด และการเรียนรู้


การห้ำหั่นจองล้างจะไม่มีทางจบสิ้น ตราบเท่าที่ยังฝังหัวกันในหมู่พวกอยู่ร่ำไปว่า ข้าเก่งกว่า ฉัน ดี กว่า ผู้ที่ถูกตราหน้าย่อมหาทางกลับไปอยู่เหนือบ้าง ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เราจะเอาแต่ถีบกัดชนะต่อกันเหมือนดิรัจฉานละหรือ