วันอาทิตย์, ตุลาคม 08, 2560

"เฮ้ย! นี่มันจะปล่อยให้ผู้ต้องหาแก้คดีมากไปแล้วนะเว้ย" นายทหารพลตรีพูดถึงนักโทษคดีการเมือง

บันทึกนักโทษคดีการเมือง ตอนที่ 3 :เชลยศึก

รถบรรทุกทหารพาผมกลับไปที่เดิม หอประชุมกองทัพบก กองบัญชาการคณะรัฐประหาร คสช. ในช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม 2557

ที่นั่นมีนายพลตรีนอกเครื่องแบบผมสีดอกเลา พันตำรวจโทจากกองบังคับการ ปอท. อัยการหนุ่มใหญ่ และตำรวจจากปอท.รออยู๋

นายพลตรีผมสีดอกเลาเป็นหัวหน้าชุด กางแฟ้มประวัติที่ชี้ว่าเฝ้าติดตามผมอย่างละเอียดมายาวนานนับ 10 ปี และเข้าถึงข้อมูลอย่างละเอียด...ละเอียดชนิดที่ว่าน่าทึ่ง

พันตำรวจโทจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ทำหน้าที่รับลูกต่อจากนายพลฝ่ายข่าว อัยการหนุ่มที่มีทีท่าสีหน้าเบื่อๆ ที่ต้องออกมาช่วยราชการในวันหยุด กับนายตำรวจยศร้อยตำรวจโทที่มีอาการว่า มาทำตามหน้าที่ร้อยเวรนอกสถานที่

นายพลตรีผมดอกสีเลาหยิบเอกสารขนาด A4 จำนวนปึกหนึ่งมา แล้วบอกให้ผมเซ็นรับว่าทั้งหมดนั้นเป็น ผลงาน การเขียนหรือเผยแพร่ผ่านเว็ปไซต์ข่าวแห่งหนึ่ง ผมนับดูก็รวมๆ 25 ข่าว..เป็นข่าวที่เกี่ยวข้องไปถึงสถาบันเบื้องสูง หรือบุคคลสำคัญระดับสูง

เว็ปไซต์นี้คือไทยอีนิวส์ หรือ www.thaienews.blogspot.com ซึ่งผมได้อาสาสมัครเข้าไปทำตั้งแต่หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ด้วยวัตถุประสงค์ชัดเจนคือ ต่อต้านคัดค้านการก่อรัฐประหาร ทัดทานอำนาจเผด็จการ เปิดโปงขบวนการที่ต่อต้านประชาธิปไตย ตอบโต้ปฏิบัติการจิตวิทยามวลชนด้านการข่่าว (IO) แลกหมัดกับสื่อกระแสหลักที่เป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายประชาธิปไตย สนับสนุนขบวนประชาธิปไตยที่มีอยู่ทุกมุมโลก ยืนหยัดปกป้องความเคลื่่อนไหวด้านประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และเสรีภาพทั้งมวล

เวปไซต์ที่ว่านี้ทำงานปิดลับ ไม่มีชื่อ ไร้เสียงของคนทำ ไม่มีรายได้ ไม่มีการนำไปเป็นเครื่องมือไต่บันไดดาวไปเป็นอะไรในทางการเมืองทั้งสิ้น ไม่มีค่าใช้จ่าย เพราะเป็นเว็บบล็อกฟรี แต่คนทำต้องเป็นมืออาชีพที่เน้นทำงานมาตรฐานสูง มีแหล่งที่มาที่ไปของข้อมูลข่าวสารชัดเจนอ้างอิงได้ ไม่มโน ไม่ใช้ข่าวลือ ไม่ต้อง สองขาดี  สี่ขาเลวไปทุกเรื่อง

ยอดคนอ่านเฉลี่ยคือ 25,000 คลิก หรือเพจวิวต่อวัน แต่ในช่วงสถานการณ์การเมืองร้อนแรงมาก ก็จะเฉียด 1 แสนเพจวิว หากการเมืองฮ็อตจริงๆ ไปถึง 3-5 แสนเพจวิว

ทีมงานทั้งหมดไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัว และไม่มีใครอยากรู้จักใคร เรารู้ดีว่าภารกิจนี้มีความเสี่ยงสูง หากใครซักคนต้องมีอันเป็นไป หรือติดคุกติดตาราง ก็ต้องรับผิดชอบดูแลตัวเอง ไม่มีการซัดทอดถึงใคร เพราะไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว

ก่อนหน้าจะถึงคิวของผมนั้น ทีมงานโดนไปแล้ว 2 ราย รายแรกเรามาทราบในภายหลังว่าเขาเป็นผู้บริหารบริษัทระดับโลก ภาษาอังกฤษดีเยี่ยม จบการการศึกษาต่างประเทศ และอยากนำความรู้ประสบการณ์มาเคลื่อนไหวประชาธิปไตย เขาถูกควบคุมตัวหลังจากไปประชุมต่างประเทศกลับมาที่สนามบินสุวรรณภูมิ

รายที่สอง ภาษาอังกฤษดีเลิศ เขาเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนและกิจการด้านแรงงานและสตรีมาก่อน แต่รอดไปหวุดหวิดขณะเดินทางไปยุโรป เขาจึงต้องลี้ภัยอยู่ในทวีปนั้น

ผมดูจะเสี่ยงที่สุดเพราะมีพิกัดที่ตั้งอยู่ในประเทศ เคยโดนตำรวจตามมาควบคุมตัวก่อนสิ้นปี 2554 แต่ไหวตัวทัน หลบไปลี้ภัยในต่างประเทศระยะหนึ่ง พอเหตุการณ์ปกติก็กลับเข้าประเทศ

ทั้งหมดนี้ใช้ทุนรอนส่วนตัวทั้งสิ้นครับ เราไม่มีแรงจูงใจเรื่องเงินหรือรายได้ แต่หากจะบอกว่าเราจ่ายไปเท่าไหร่กับการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยนั่นจะถูกเรื่องมากกว่า

สิ่งเดียวที่เราเอาทั้งหมด เอาทั้งตัวทั้งชีวิต อิสรภาพเข้าเสี่ยงภัยเพื่อแลกมันมา คือ ประชาธิปไตย...ง่ายๆ งดงาม ไม่มีอะไรซับซ้อน

สถานการณ์ชุมนุมของ กปปส.ปลายปี 2556 มาถึงช่วงต้นปี 2557 นั้นชี้ไปในทางว่า คงนำไปสู่การรัฐประหารแน่ๆ สิ่งที่ผมคิดทำในเวลานั้นคือลี้ภัยไปต่างประเทศ แต่ครอบครัวของผมไม่พร้อม ตัวผมเองก็รู้สึกไม่พร้อม (จากประสบการณ์เคยลี้ภัยไประยะหนึ่งในช่วงสิ้นปี 2554 ต้นปี 2555 ผมพบว่าชีวิตของผู้ลี้ภัยยากลำบาก และเหงาสุดชีวิต...สู้เอาผมไปติดคุกยังจะดีกว่า ทำนองนั้น)

กับอีกอย่างที่สำคัญคือ หาคนมารับช่วงภารกิจทำเว็ปไซต์ไทยอีนิวส์ ซึ่งคุณสมบัติคนทำนั้นควรจะ 1) มีสถานะที่ปลอดภัยไม่เสี่ยงมาก หากมีถิ่นพำนักในต่างประเทศก็จะดีกว่า 2) มีความเป็นมืออาชีพ มีประสบการณ์กิจการงานข่าว...ซึ่งก็โชคดี เราหาทีมรับช่วงนี้ได้ ภาระงานของพวกเขามีสั้นๆ คือ หากเกิดรัฐประหารขึ้นทันทีในประเทศไทย ทีมที่ไม่ปลอดภัยอย่างผมที่พำนักในประเทศทำงานต่อไม่ได้ ไม่ว่าจะโดยเหตุใด รวมทั้งตาย, ลี้ภัย, ติดคุก พวกเขาจะรับไม้ต่อทันที

ดังนั้นเมื่อเกิดรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 และหลังจากนั้น 3 วันผมถูกควบคุมจับกุมตัว เว็บไทยอีนิวส์จึงเดินหน้าต่อไปอย่างราบรื่น
....

ผมดึงเอกสารข่าวที่นายพลตรีฝ่ายข่าวยัดใส่มือให้ผมเซ็นออกไปครึ่งหนึ่ง บอกว่าผมไม่ได้เขียนหรือเป็นผู้เผยแพร่

"คุณจะเจอบทเรียนอย่างหนักที่ไม่ให้ความร่วมมือ" เขาขู่ ผมบอกว่าคุณติดตามผมมานาน 10 กว่าปี คุณมีรายละเอียดทั้งหมด คุณรู้ดีว่าอันไหนที่ผมเขียนหรือเผยแพร่ และอันไหนผมไม่ คุณอย่าหาเรื่องยุ่งยากให้กับงานตัวเองไปหน่อยเลย เพราะอันไหนที่ผมบอกว่าไม่ คุณก็ต้องมีหน้าที่ไปพิสูจน์ในชั้นศาลให้ยุ่งยากซะเปล่า..จริงไม่จริง?

ผมเซ็นรับว่ามีเอกสารที่ผมเขียนเองหรือเป็นผู้เผยแพร่ผ่านเวปไซต์ไทยอีนิวส์ให้เขาไปราว 10 ชิ้น...เขาคัดไปจำนวนหนึ่ง โยนทิ้งขยะไปจำนวนหนึ่ง แล้วมอบหน้าที่ให้ร้อยโทหนุ่มจาก ปอท.มาบันทึกคำให้การของผม

ผมบันทึกคำให้การว่า ผมมีหน้าที่การงานที่ดี มีการศึกษาสูง กำลังทำปริญญาเอกอยู่ มีครอบครัวที่ดี มีรายได้ดี อยู่ในแวดวงสังคมระดับสูงของประเทศไทย ผมไม่เคยได้ประโยชน์ใดๆ จากนโยนบายของทักษิณ ไม่ว่าจะกองทุนหมู่บ้าน หรือบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค เพราะผมมีความสามารถดูแลตัวเองได้ และไม่เคยได้ผลประโยชน์ใดๆ จากการที่มาทำเว็ปไซต์นี้ แต่ผมเอาประสบการณ์ความเป็นมมือชีพด้านสื่อมาเคลื่อนไหวรณรงค์ประชาธิปไตย ก็เพราะเห็นว่าสื่อกระแสหลักจำนวนมากทรยศต่อวิชาชีพและมโนธรรมสำนึก หันไปฝักใฝ่สมาทานเผด็จการ ต่อต้านประชาธิปไตย กดข่มประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่ต้องการสิทธิในการปกครองตัวเอง หรือเลือกผู้แทนตนเอง

ส่วนข่าวและบทความที่พาดพิงไปถึงเบื้องสูงและบุคคลระดบสูงนั้น ไม่ได้มีความมุ่งหมายในการล้มล้าง หรือหมิ่นประมาทใดๆ เพียงแต่ต้องการเห็นการปฏิรูปสถานะบทบาทให้สอดคล้องการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เช่นนานาอารยะประเทศในยุโรป หรือญี่ปุ่นเท่านั้น

"เฮ้ย! นี่มันจะปล่อยให้ผู้ต้องหาแก้คดีมากไปแล้วนะเว้ย" นายพลตรีฝ่ายการข่าวหยิบเอกสารรับสารภาพจากร้อยโทหนุ่มมาอ่าน แต่อัยการหนุ่มใหญ่บอกว่าเป็นสิทธิของผู้ต้องหา สร้างความขุ่นเคืองให้แก่ท่านนายพลอยู่เอาการ

"ตอนนี้คุณอายุเท่าไหร่นะ?" เขาหันมาถามผม พอผมตอบไปเขาก็บอกว่า ไปอยู่ในนั่นซัก 10 ปี ออกมาหัวขาวพอดี...ผมยิ้มให้กับเขา บอกเบาๆ ว่า ผมเป็นเชลยของคุณแล้วนี่ เล่นเอาเขาตาขวางไปเหมือนกัน
.....

ก่อนออกจากกองบัญชาการคสช.เย็นวันนั้น ผมก็เจอเข้ากับประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าว THE NATION เขาเป็นผู้สื่อข่าวที่มีจิตวิญญาณประชาธิปไตยที่หาได้ยากในแวดวงสื่อกระแสหลัก ผมเลยขอเข้าไปคุยกับเขา ทราบว่าเขาก็มารายงานตัวและถูกควบคุมตัวไว้ 7 วัน กำลังจะได้กลับบ้าน

"แต่ผมไม่ได้กลับบ้าน เอานะคุณประวิตรฟังนะ ผมรู้จักว่าคุณเป็นใคร แต่คุณไม่เคยรู้จักผม และไม่อยากจะรู้จักหรอก ผมฝากสารไปถึงคุณ...และคุณ...ด้วย บอกว่าพบเจอผมคือนายศมศักดิ์อยู่ที่นี่" ผมบอกเขา เขาควักปากกาจะขึ้นมาจดรายละเอียดเรื่องชื่อแซ่ เบอร์ติดต่อของผม แต่ผมบอกว่าผมมีข้อมูลให้เท่านั้น

"ช่วยส่งข่าวถึงสองคนนั้นว่า ผมถูกคณะรัฐประหารควบคุมตัวไว้แล้ว 7 วัน และผมไม่ได้ถูกปล่อยตัวกลับบ้านเหมือนคนอื่น ผมน่าจะถูกส่งตัวไปคุกในอีก 2-3 วันข้างหน้า หากไม่ส่งไปนี่หละปัญหา...ให้คุณและคนที่ผมส่งข่าวถึงรายงานด้วยว่า ผมถูกบังคับให้หายสาบสูญ"

คุณประวิตรรับปากในข้อนี้ เขาพยายามขอรายละเอียดกับผม ซึ่งผมบอกว่าเมื่อคุณแจ้งข่าวกับเป้าหมายปลายทางแล้ว เขาอาจบอกได้ว่าผมเป็นใคร แต่นั่นไม่ใข่จุดมุ่งหมายของผม

"No news is a good news คุณเข้าใจเรื่องนี้ดีใช่มั้ย ผมขอขอนุญาตไม่เป็นข่าวใดๆ ถ้าหากอยากกรุณาช่วยผมซักเรื่อง นั่นหละที่ผมจะขอร้อง" ผมบอกเขา...คุณประวิตรให้คำมั่น ผมก็ปลดห่วงไปเปลาะใหญ่
...

ที่สุดแล้ว...ผมไม่ได้ถูกบังคับให้หายสาบสูญ หรือเรียกกันแบบลำลองว่า โดนอุ้มตามที่ผมกังวลแต่อย่างใด แต่ถูกส่งเข้าเรือนจำแทน โดยมีโทษจำคุก 10 ปี...!

ooo

เรื่องเกี่ยวเนื่อง...

บันทึกนักโทษคดีการเมือง เมื่อรัฐประหาร ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗